ไทยแพนโต้กรมวิชาการเกษตร ยันพร้อมสู้คดีหากมีฟ้อง
ไทยแพนชี้เเจงละเอียดยิบ กรณีกรมวิชาการ และมกอช. อ้างผลการสุ่มตรวจสารเคมีตกค้างไม่เป็นไปตามหลักวิจัย พร้อมถามกลับมาตรฐานรัฐโปร่งใสจริงหรือ ยันสู้คดีหากมีการฟ้อง
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2559 เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ออกแถลงชี้แจงประเด็นสืบเนื่องจากที่นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร และนางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.)ได้แถลงว่า ผลการเฝ้าระวังสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างของไทยแพน ไม่ได้เป็นไปตามหลักการวิจัย มีตัวอย่างน้อยเกินไป ไม่สามารถเป็นภาพรวมปัญหาการตกค้างของสารเคมี และระบุว่าสินค้า Q ยังมีความน่าเชื่อถือ เพราะจากการสุ่มตรวจสินค้า Q เป็นจำนวนมาก มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินมาตรฐานไม่ถึง 1% นั้น
ด้านไทยแพน ชี้แจงว่า การเฝ้าระวังของไทยแพน เป็นการดำเนินการ “เฝ้าระวัง” ในฐานะผู้บริโภคและองค์กรภาคประชาสังคม มิใช่เป็น “งานวิจัย” ซึ่งในระยะเวลาที่ผ่านมาจำนวนตัวอย่างในการ “เฝ้าระวัง” ของหน่วยงานของรัฐเอง เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เอง ก็มีจำนวนตัวอย่างการ "เฝ้าระวัง" ที่ไม่แตกต่างมากนักกับไทยแพน เพราะการตรวจวิเคราะห์เพื่อให้ทราบชนิดและปริมาณการปนเปื้อนในระดับหน่วยส่วนต่อล้านส่วน(ppm)นั้นมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง จำนวนตัวอย่างในการตรวจของไทยแพนแต่ละครั้งจึงเป็นจำนวนตัวอย่างในระดับปกติ ทั้งยังระบุจำนวนตัวอย่างการตรวจสอบอย่างชัดเจน สัดส่วนการพบสารตกค้างเกินมาตรฐาน จึงเป็นสัดส่วนจากจากจำนวนการเก็บตัวอย่าง 138 แยกตามแหล่งจำหน่าย หรือแยกตามชนิดผักผลไม้ หรือแยกตามประเภทตราสินค้า แต่กรณี ไทยแพนไม่เคยอ้างสัดส่วนการตกค้างดังกล่าวว่าเป็นสัดส่วนภาพรวมของประเทศ ซึ่งบางทีอาจมีสารตกค้างต่ำกว่ามาตรฐานมากกว่าหรือน้อยกว่าสัดส่วนการนำเสนอของไทยแพนก็เป็นไปได้
ไทยแพน กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาไทยแพนจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับทุกฝ่าย มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานของรัฐเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 ซึ่งมีทั้ง กรมวิชาการเกษตร มกอช. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาศูนย์พัฒนานโยบายแห่งชาติด้านสารเคมีสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมและกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค และตัวแทนจากห้าง/ตลาดสดเข้าร่วมนั้น ภาคเอกชน และกระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงความเห็นด้วยในทางหลักการที่จะร่วมกันพัฒนาระบบดังกล่าวแล้ว
ในส่วนคำชี้แจงของกรมวิชาการเกษตรที่อ้างว่าสินค้า Q มีมาตรฐานและพบการปนเปื้อนการเกินมาตรฐานไม่ถึง 1% นั้น ขัดแย้งกับข้อมูลการตรวจสอบของไทยแพน และหน่วยงานอิสระอื่นๆโดยไทยแพนเผยว่า การสุ่มตรวจผักและผลไม้ที่ส่งออกจากประเทศไทยไปยังสหภาพยุโรป โดยผักและผลไม้จากประเทศไทยที่การส่งออกนั้นต้องได้มาตรฐาน Q-GAP นั้น ข้อมูลล่าสุดซึ่งเผยแพร่เมื่อปี 2015 ของ EFSA(The 2013 European Union report on pesticide residues in food) พบการปนเปื้อนของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ส่งออกไปจากประเทศไทยเกินมาตรฐานถึง 101 ตัวอย่าง จากตัวอย่างผักและผลไม้ที่สุ่มตรวจทั้งหมด 825 ตัวอย่างหรือคิดเป็น 12.2 %
ทำให้สถานะของประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกผักและผลไม้ไปยังอียู มีการปนเปื้อนสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 6 จากประเทศที่ส่งออกผักและผลไม้ไปยังอียูทั้งหมด 38 ประเทศ ตัวเลขดังกล่าวแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากกรมวิชาการเกษตรที่อ้างว่า ในปี 2559 ได้ตรวจวิเคราะห์สินค้า Q ประมาณ 1,500 ตัวอย่าง ในจำนวนนี้พบว่ามีเพียง 7 ตัวอย่าง คิดเป็นน้อยกว่า 1 % ที่มีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน
ทั้งนี้ไทยแพนระบุว่า นอกเหนือจากผลของไทยแพนและสหภาพยุโรปแล้ว ยังมีงานศึกษาเชิงคุณภาพโดยนักวิชาการอิสระที่ตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ Agriculture and Human Values ฉบับเดือนธันวาคม 2012 โดยคณะนักวิชาการพบว่า “คุณภาพของการออกใบรับรอง Q นั้นค่อนข้างแย่ มาตรฐาน Q ที่เป็นอยู่นั้นไม่ใช่ทางเลือกที่แท้จริงสำหรับหลักประกันเรื่องความปลอดภัยทางอาหาร”
นอกจากนี้ไทยแพนได้ตั้งข้อสังเกตถึงการตรวจสอบมาตรฐาน GAP ก่อนติดฉลาก Q นั้น พบว่าแม้ข้อกำหนดของ GAP จะต้องมีการเข้ามาตรวจสอบของผู้รับรอง 3 ครั้ง โดยไม่แจ้งล่วงหน้าให้เกษตรกรทราบ แต่การศึกษาพบว่ามีการเข้ามาตรวจสอบฟาร์มเพียงครั้งเดียว ทั้งยังนัดหมายกับเกษตรล่วงหน้า และใช้เวลาตรวจสอบเพียงเกษตรกรรายละ 5 นาทีเท่านั้น
"วิธีการตรวจสอบได้ใช้ห้องปฏิบัติการที่น่าเชื่อถือเพียงใด ? ความสามารถของห้องปฏิบัติการสามารถตรวจสอบได้เท่าเทียมกับการตรวจสอบของไทยแพนซึ่งใช้ห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจสอบสารได้มากถึง 450 ชนิดหรือไม่ ? การสุ่มเก็บตัวอย่างและกระบวนการตรวจสอบมีความน่าเชื่อถือ เป็นกลาง และโปร่งใสหรือไม่ ?"
ในส่วนกรณีที่มีอธิบดีกรมวิชาการเกษตรจะฟ้องไทยแพนฐานหมิ่นประมาทนั้น ทางไทยแพนเผยว่าพร้อมที่จะต่อสู้คดี และเชื่อว่าการฟ้องร้องครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่ประชาชนไทยและสื่อมวลชนจะได้เข้าใจความจริงและปัญหาเบื้องหลังเรื่องความไม่ปลอดภัยของอาหาร และสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากขึ้นว่ามีสาเหตุมาจากความบกพร่อง การขาดความสามารถ หรือความไร้ประสิทธิภาพของผู้บริหารของหน่วยงานใด.