แถลงการณ์ 2 ปีการหายไปของบิลลี่ รัฐไทยต้องจัดการปัญหาอุ้มหายอย่างจริงจัง
แถลงการณ์เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ รัฐไทยต้องดำเนินการป้องกันการบังคับบุคคลสูญหายอย่างจริงจังและเร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อทราบชะตากรรมของผู้ถูกบังคับสูญหายหลายรายที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 ในตอนท้ายของเวทีวิชาการเนื่องในวาระครบรอบ 2 การหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ หัวข้อ 2 ปีบิลลี่: อุ้มหายคน อุ้มหายความยุติธรรม อุ้มหายสิทธิเสรีภาพ ที่ ห้องประชุมจั๊คส์ อัมโยต์ ชั้น 4 อาคารวิศิษฐ์ ประจวบเหมาะ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นายไพโรจน์ พลเพชร ประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นตัวแทนอ่านแถลงการณ์เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่รัฐไทยต้องดำเนินการป้องกันการบังคับบุคคลสูญหายอย่างจริงจังและเร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อทราบชะตากรรมของผู้ถูกบังคับสูญหายหลายรายที่ผ่านมา โดยรายละอียดระบุว่า
ประเทศไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา มีแกนนำชาวบ้าน นักเคลื่อนไหว นักต่อสู่เพื่อสิทธิมนุษยชน ถูกคุกคาม ถูกสังหารหรือแม้แต่ถูกบังคับให้หายสาบสูญเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานการณ์การบังคับบุคคลสูญหายในประเทศไทยนั้น จากสถิติที่มีการรวบรวมจากการร้องเรียนโดยคณะทำงานว่าด้วยการบังคับบุคคลให้สูญหายหรือการสูญหายโดยไม่สมัครใจ ระหว่างปี 2523 ถึง 2557 ประเทศไทยมีการบังคับสูญหาย 89 กรณี
โดยใน 81 กรณี ยังไม่ได้รับการแก้ไข รวมถึงกรณีของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ นักต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชนชาวกะเหรี่ยงที่หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ด้วย[1] ในจำนวนนี้ยังไม่รวมกรณีนายฟาเดล เสาะหมาน อดีตผู้ต้องขังถูกที่ถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ 3 คนใช้กำลังบังคับเอาตัวและหายสาบสูญไป เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2559 และกรณีของนายเด่น คำแหล้ประธานโฉนดชุมชนโคกยาว ที่ได้ต่อสู้ในประเด็นที่ดินทำกินซึ่งหายตัวไปเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2559หลังเดินทางเข้าป่าเพื่อหาเก็บหน่อไม้
ที่การบังคับสูญหายมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีการให้อำนาจเจ้าหน้าที่โดยปราศจากการตรวจสอบดังเช่นข้อมูลการศึกษาโดยมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ระบุว่า การบังคับสูญหายจะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง หากรัฐมีนโยบายในด้านความมั่นคงหรือการปราบปรามอย่างหนัก อาทิ นโยบายการปราบปรามการก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทย และนโยบายสงครามยาเสพติด ในปี 2546[2] เป็นต้น
และปัจจุบัน คสช. ได้ออกคำสั่งที่ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐอย่างกว้างขว้าง โดยเฉพาะคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2558 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 13/2559 ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวบุคคลไว้ได้ไม่เกิน7 วัน และไม่ระบุสถานที่ควบคุมตัวโดยญาติและทนายความไม่สามารถเข้าถึงหรือตรวจสอบการควบคุมตัวบุคคลที่ถูกควบคุมตัวได้ในทันที[3]จึงอาจทำให้บุคคลเหล่านั้นตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกบังคับให้หายสาบสูญ
การบังคับให้บุคคลหายสาบสูญถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงและผู้ที่ตกเป็นเหยื่อหรือญาติมักจะไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ ดังจะเห็นได้จากที่ผ่านมารัฐบาลไทยยังไม่ประสบความสำเร็จในการคลี่คลายคดีและสืบสวนสอบสวนเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและลงโทษอย่างเหมาะสม รวมทั้งไม่สามารถสืบสวนเพื่อทราบที่อยู่และชะตากรรมของผู้ถูกบังคับสูญหายได้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากข้อจำกัดทางกฎหมายของประเทศไทย ที่ยังไม่ได้กำหนดให้การบังคับสูญหายเป็นความผิดทางอาญารวมถึงกระบวนการสืบสวนสอบสวนค้นหาความจริงยังขาดความเป็นอิสระ หรืออาจไม่ใส่ใจที่จะสืบสวนสอบสวนโดยทันที
แม้ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการสูญหายโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance (CED)) เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2555 แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาดังกล่าว และแม้รัฐไทยจะมีการยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันการทรมานและบังคับสูญหายแล้ว แต่กระบวนการที่จะทำให้กฎหมายฉบับนี้ออกมาบังคับใช้ก็เป็นไปอย่างล่าช้า หากเปรียบเทียบกับกฎหมายฉบับอื่นๆ ที่เร่งตราออกมาอย่างรวดเร็วภายใต้รัฐบาลนี้
ดังนั้น เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวบางกลอยหลังจากที่เขาถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานควบคุมตัวไว้เมื่อ 17 เมษายน 2557 โดยปัจจุบันก็ยังไม่มีความคืบหน้ามากนักในการสืบหาตัวและนำผู้กระทำผิดมารับโทษ อันมีเหตุส่วนหนึ่งมาจากข้อบกพร่องของกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งความไม่คืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนกรณีของบิลลี่ดังกล่าวและการลอยนวลพ้นผิดของผู้กระทำในอดีตที่ผ่านมาประกอบกับสถานการณ์บังคับใช้กฎหมายและนโยบายภายใต้รัฐบาลนี้ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการบังคับสูญหายได้
องค์กรที่มีรายนามแนบท้ายแถลงการณ์นี้ ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบังคับสูญหายอย่างเร่งด่วน ดังต่อไปนี้
1. ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณารับคดีการหายตัวไปของบิลลี่เป็นคดีพิเศษอย่างเร่งด่วนและต้องมีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนอย่างจริงจัง เร่งด่วน อิสระ และเป็นมืออาชีพ จนทราบชะตากรรมของบิลลี่เพราะคดีนี้เป็นคดีที่มีความสำคัญต่อนโยบายด้านกระบวนการยุติธรรม การบังคับให้บุคคลใดสูญหายเป็นเรื่องที่รัฐจะต้องกำหนดมาตรการอย่างเด็ดขาดในการสืบสวนหาความจริง เพื่อไม่ให้กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก และถึงแม้ปัจจุบันประเทศไทยจะยังไม่มีการกำหนดให้การบังคับบุคคลสูญหายเป็นความผิดทางอาญา แต่ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหายแล้ว ในฐานะรัฐภาคี จึงควรใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อป้องกันการบังคับให้สูญหายและไม่ให้ผู้กระทำลอยนวลพ้นผิดเนื่องจากความผิดฐานบังคับให้สูญหาย
2. จากกรณีการหายตัวไปของนายเด่น คำแหล้ นักต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา โดยจากการค้นหาของเครือข่ายชาวบ้านสมาชิกเครือข่ายปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน พบหลักฐานที่บงชี้ว่าการหายตัวไปของนายเด่น อาจเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ดังนั้น เพื่อให้เกิดการคลี่คลายในกรณีดังกล่าว จึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ต้องร่วมมือกันสืบสวนสอบสวนอย่างจริงจัง เร่งด่วน อิสระ และเป็นมืออาชีพ จนทราบชะตากรรมของนายเด่น คำแหล้
3. ขอให้มีการดำเนินการทั้งทางอาญาและทางวินัยต่อเจ้าหน้าที่ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงที่เชื่อได้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐนั้นกระทำการหรืออนุญาต สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจต่อการบังคับบุคคลให้หายสาบสูญ
4. ขอให้ทบทวน ระเบียบ กฎ ที่เอื้อให้มีการบังคับบุคคลให้หายสาบสูญ โดยเฉพาะกฎหมายที่ให้อำนาจในการควบคุมตัวบุคคลไว้เป็นเวลานานและโดยไม่เปิดเผยสถานที่ควบคุมตัวหรือโดยไม่มีการนำตัวไปศาล เช่น คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 รวมทั้งการควบคุมตัวตามกฎหมายพิเศษอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎอัยการศึก พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดฯ เป็นต้น
5.ขอให้เร่งดำเนินการตรากฎหมายการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหายอย่างเร่งด่วน โดยมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลจากการหายสาบสูญ เพื่อสร้างมาตรฐานทางกฎหมายอาญาในประเทศในการป้องกันการกระทำผิดและมีกระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพเพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ รวมถึงมีมาตรการเยียวยาผู้เสียหายที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพโดยเนื้อหาในกฎหมายดังกล่าวควรระบุหลักประกันอย่างน้อย ดังต่อไปนี้
5.1 กำหนดให้การทรมานและการบังคับให้หายสาบสูญเป็นความผิดทางอาญา ฐานความผิดดังกล่าวต้องสอดคล้องกับนิยามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลจากการหายสาบสูญ
5.2 กำหนดให้การซ้อมทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายต้องได้รับการสืบสวนสอบสวนโดยทันที เป็นกลางและมีประสิทธิภาพโดยต้องนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้แม้ไม่พบตัวหรือไม่พบชิ้นส่วนศพก็ตาม และต้องตระหนักว่าสิทธิในการรับทราบความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของเหยื่อเป็นสิทธิโดยสมบูรณ์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้
5.3. กำหนดแนวทางการคุ้มครองพยานอย่างมีประสิทธิภาพและชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่คุ้มครองพยานต้องไม่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเดียวกันหรือใกล้ชิดกับหน่วยงานที่ถูกกล่าวหาว่าทำการทรมานหรือบังคับให้หายสาบสูญ เพื่อให้ความมั่นใจว่าผู้กระทำผิดจะไม่มีอิทธิพลต่อกลไกการคุ้มครองพยาน
5.4 กำหนดหลักประกันว่า ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกจำกัดเสรีภาพต้องถูกเปิดเผยต่อญาติและทนายความ หรือผู้มีส่วนได้เสียอื่น เพื่อป้องกันการทรมานการบังคับบุคคลให้สูญหายหรือทำให้เกิดการคุมขังในสถานที่ลับ และไม่ควรมีข้อกำหนดที่จะทำให้เกิดช่องว่างหรือข้อยกเว้นที่เป็นอุปสรรคต่อการป้องกันการทรมานและการบังคับสูญหายโดยเด็ดขาด
5.5. กำหนดให้องค์ประกอบของคณะกรรมการที่เข้ามาทำหน้าที่ในการป้องกันการทรมานและบังคับบุคคลสูญหาย ต้องมีหลักประกันความเป็นอิสระเพื่อไม่ให้คณะกรรมการถูกแทรกแซงจากผู้มีอำนาจและผู้มีอิทธิพลและควรกำหนดให้มีสัดส่วนของภาคประชาสังคมในจำนวนที่สมดุลกับกรรมการโดยตำแหน่งที่มาจากภาครัฐ อีกทั้งต้องพิจารณาถึงการมีส่วนร่วมของผู้เสียหายและญาติผู้เสียหายด้วย
ด้วยความเคารพในสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA)
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (UCL)
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF)
ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา(HRDF)
ศูนย์พอทักษ์ปละฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน(TLHR)
มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน
ขอบคุณภาพประกอบจาก FB:Where is Somchai Neelapaijit ?