ปตท.โต้ คตง.! ลั่นแบ่งแยกท่อก๊าซตามคำพิพากษาศาล ปค.สูงสุดแล้ว
ปตท. โต้ คตง.! ลั่นแบ่งแยกท่อก๊าซคืนรัฐ ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดแล้ว ชี้ไม่สามารถแบ่งเกินคืนคำพิพากษาได้ ยันรายงานให้ ครม.ทราบทีหลังได้ เผยส่งทรัพย์สินให้ สตง. ดูแล้ว แต่ไม่มีความเห็นตอบกลับ ยกหนังสือ สตง. ระบุให้คำพิพากษาศาล ปค.สูงสุดเป็นที่ยุติ
จากกรณีคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) พิจารณาสรุปผลรายงานการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีมติชี้มูลความผิด นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.คลัง (สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี) นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นายอำนวย ปรีมวงศ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมธนารักษ์ นายนิพิฐ อริยวงศ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยสำนักบริหารจัดการฐานข้อมูลที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ กับพวกรวม 6 ราย
กรณีไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2550 และไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2550 รวมถึงการจัดทำบันทึกการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผนดินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และการเสนอรายงานสรุปการดำเนินการตามคำพิพากษา โดยแจ้งเนื้อหาที่เป็นเท็จและปกปิดข้อเท็จจริงในสาระสำคัญที่จะต้องรายงานต่อศาลปกครองสูงสุด กรณีการแบ่งแยกทรัพย์สินของ ปตท. เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายไม่น้อยกว่า 32,613.45 ล้านบาท และเนื่องจากทรัพย์สินดังกล่าวถือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งมิได้ถูกโอนให้แก่รัฐตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2554 ทำให้รัฐขาดรายได้จากค่าใช้ทรัพย์สินซึ่งถือเป็นความเสียหายส่วนหนึ่ง ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้น
(อ่านประกอบ : เปิด 4 พฤติการณ์‘หมอเลี๊ยบ-ประเสริฐ’โดน สตง.ฟันคดีท่อก๊าซ-ไฉน‘ปิยสวัสดิ์’รอด?, สตง.เชือด‘หมอเลี๊ยบ-ประเสริฐ’คดีส่งคืนท่อก๊าซ ปตท.ไม่ครบเสียหาย 3.2 หมื่นล.)
ล่าสุด นายชวลิต พันธ์ทอง ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและบริหารความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ตามที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) และ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีความเห็นถึงกรณีการแบ่งแยกทรัพย์สินไม่เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด และมีการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีนั้น ปตท. ขอยืนยันว่า ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดและมติคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอน พร้อมทั้งได้นำเสนอข้อมูลทรัพย์สินของ ปตท. ทั้งก่อนและหลังการแปรรูป ต่อศาลฯเพื่อประกอบการพิจารณา โดยศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งหลายครั้งว่า ปตท. ได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2559 ศาลฯได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2551 อนึ่ง ปตท. ไม่สามารถดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินคืนให้รัฐเกินกว่าคำพิพากษาของศาลฯได้
ส่วนในกรณีที่ว่า ปตท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 นั้น นายชวลิต กล่าวว่า ใคร่ขอชี้แจงว่า ปตท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินตามมติ ครม. แล้ว โดย ครม. ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ โดยไม่ต้องรายงาน ครม. ก่อนดำเนินการแต่อย่างใด จนเมื่อดำเนินการเรียบร้อย กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานจึงได้รายงาน ครม. เพื่อทราบเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 โดย ครม. ไม่มีความเห็นแย้งแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ในส่วนที่ สตง./ คตง. มีความเห็นว่า ปตท. มิได้รอความเห็นของ สตง. ก่อนยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2551 นั้น ขอชี้แจงว่า ปตท. ได้นำส่งข้อมูลบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดให้ สตง. พิจารณาแล้ว ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2551 ซึ่ง สตง. ไม่มีความเห็นกลับมายัง ปตท. แต่อย่างใด และ ตามที่ สตง. อ้างว่าได้ส่งรายงานฉบับลงวันที่ 10 ตุลาคม 2551 ให้แก่ ปตท. แล้วนั้น ปรากฏว่า รายงานดังกล่าว เป็นเพียงเอกสารแนบท้ายหนังสือของ สตง. ฉบับลงวันที่ 26 ธันวาคม 2551 เท่านั้น ซึ่ง สตง. นำส่งให้แก่ ปตท. เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2551 และนำส่งศาลฯ ด้วย ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ศาลฯ มีคำสั่งแล้ว
ทั้งนี้ สตง. ได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ถึง ปตท. และศาลฯ อีกครั้งหนึ่ง ระบุว่า “การดำเนินการแบ่งแยกและส่งมอบทรัพย์สินของ ปตท. ให้กระทรวงการคลังตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด จะครบถ้วนและเป็นไปตามคำพิพากษาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด ที่จะพิจารณา ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดถือเป็นยุติ” ซึ่ง เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2552 สำนักงานศาลปกครองสูงสุด ได้มีหนังสือแจ้งถึง สตง. ว่า “ได้ติดตามผลการดำเนินงานตามคำพิพากษาของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ และรายงานให้ศาลฯทราบ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 4 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ปตท. ขอยืนยันอีกครั้งว่า การแบ่งแยกทรัพย์สินเป็นไปตามคำพิพากษาและหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มิได้มีการลัดขั้นตอนตามความเห็นของคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดินแต่ประการใด คำพิพากษา คำวินิจฉัย และคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดย่อมถือเป็นยุติ และไม่อาจมีบุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดจะมีอำนาจกลับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดได้ อีกทั้ง ข้าราชการ และ/หรือ พนักงานได้ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยสุจริต มิได้มีการแสวงหาประโยชน์หรือกระทำการประพฤติมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐแต่ประการใด” นายชวลิต กล่าว