แพทยสภา เล็งถกถอดบทเรียนกรณีคำพิพากษา วินิจฉัยผู้ป่วยวัณโรค
แพทยสภา เล็งถกถอดบทเรียนกรณีคำพิพากษา วินิจฉัยผู้ป่วยวัณโรค ปลายเดือนนี้ ด้านนพ.เจตน์ แนะตั้งทีมทนายที่มีหน้าที่ทำคดีเฉพาะการฟ้องแพทย์ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากสภาทนายความ
หลังมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12498/2558 ระหว่าง เด็กหญิงกนกพรหรือมาริสา ทินนึงฯ โจทก์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำเลย กรณีคดีเอกซเรย์ปอดและวัณโรค (อ่านประกอบ:ศาลยุติธรรม VS แพทยสภา กับกรณีวินิจฉัยผู้ป่วยวัณโรค)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ต.นายแพทย์อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา ระบุว่า เตรียมจัดสัมมนาถอดบทเรียนคดี และรับฟังความเห็นสมาชิกแพทยสภาในกรณีคำพิพากษา กรณีวินิจฉัยผู้ป่วยวัณโรคเพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับสถานการณ์ และสอดคล้องความเห็นทางกฎหมาย เพื่อป้องกันปัญหาและผลกระทบในอนาคต โดยเสวนาระดมสมอง ประกอบด้วยผู้มีส่วนร่วม ได้แก่ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ราชวิทยาลัย ผู้แทนอัยการ และศาลยุติธรรม ผู้แทน รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป และ รพ.ชุมชน และ สมาชิกแพทยสภา ในวันที่ 27 เมษายน 2559 เวลา 9.00-16.00 น. ที่ ห้องไพจิตร ปวะบุตร ชั้น 9 อาคาร 7 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ขณะที่ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงคดีแพทย์ถูกศาลฎีกาพิพากษาว่าวินิจฉัยโรคผิด ทำให้ผู้เสียหายได้รับผลกระทบ จนกระทรวงสาธารณสุข ต้องชดใช้เงิน 2 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกระทรวงสาธารณสุข .คล้ายกับคดีที่ร่อนพิบูลย์เมื่อหลายปีก่อน
“ดูจากคำพิพากษาและคำแถลงของสำนักงานศาลยุติธรรมแล้วเหมือนกับฝ่ายจำเลยคือสธ.เตรียมพยานไม่สมบูรณ์ ไม่มากพอที่จะทำให้ผู้พิพากษาเชื่อ ในขณะที่โจทย์ใช้พยานบุคคลทั้งทนายความและแพทย์ซึ่งเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการสู้คดี ทั้งที่คดีนี้ สธ.มีโอกาสที่จะชนะคดีได้”
นพ.เจตน์ กล่าวว่า การที่ผ่านไปถึง 3 ศาลแล้วยังแพ้คดี สธ.และแพทยสภาคงต้องหาทางสรุปให้เป็นบทเรียนน่าจะเป็นประโยชน์ ซึ่งในคดีร่อนพิบูลย์ เคยให้ความเห็นว่า นิติกรของสธ.อาจมีประสบการณ์ไม่เพียงพอถ้าจะสู้คดีในบางคดีที่ซับซ้อน เช่นเดียวกับอัยการในจังหวัดก็ไม่มีความรู้และประสบการณ์เพียงพอในคดีแพทย์ และมีข้อจำกัดที่จะต้องโยกย้ายเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น
“ทนายความของแพทยสภาและสธ.ควรจะเป็นทีมที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้มีความรู้และประสบการณ์สู้กับทนายและที่ปรึกษาของโจทย์ได้ ทีมทนายนี้มีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือแพทย์และบุคคลากรซึ่งถูกฟ้อง ทีมนี้จะเป็นทีมที่ทำคดีเฉพาะการฟ้องแพทย์ เพื่อให้สั่งสมความรู้และความชำนาญ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากสภาทนายความ แต่ต้องมีเงินเพิ่มให้กับทนายจากทีมนี้ ซึ่งอาจรวมถึงแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญด้านกฎหมาย สธ.คงหาเงินมาเพิ่มได้ยาก เพราะมีข้อจำกัด แต่แพทยสภาอาจต้องเก็บจากใบอนุญาตวิชาชีพ ซึ่งเก็บเพิ่มได้จากการขึ้นค่าธรรมเนียมวิชาชีพที่ปรับใหม่” สมาชิก สนช. กล่าว และว่า ในด้านการป้องกันอาจต้องหารือสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมว่าสามารถเพิ่มหลักสูตรอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษาให้มีความรู้ความเข้าใจในด้านการแพทย์ขึ้นสัก 1-2 ชั่วโมงได้หรือไม่