15 ธ.ค.นี้ “กิตติรัตน์” ดอดคุย เอฟทีเอกับอียู เมินผลประชาพิจารณ์
กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน เตือน ก.พาณิชย์ฯ ก่อนเจรจาเอฟทีเอกับยุโรปต้องฟังประชาพิจารณ์ประชาชนตาม รธน. หวั่นเสรีนำเข้าเหล้า สินค้าเกษตร ทรัพย์สินทางปัญญาเรื่องยา
จากการที่นายคาเรล เดอ กุช คณะกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า ได้แถลง ณ กรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยมว่าจะหารือประเด็นการเจรจาเอฟทีเอระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศไทย กับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ ที่นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในการประชุมองค์การการค้าโลกที่จะเริ่มขึ้นวันที่ 15 ธ.ค.54นี้
กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ออกแถลงการณ์ระบุว่าปัจจุบัน รัฐบาลไทยยังประสบปัญหาการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและกระบวนการต่างๆตามมาตรา 190 โดยที่ผลการรับฟังความคิดเห็นประชาชนตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ปี 2553 ยังไม่ได้มีการรายงานกลับไปยัง ครม.เพื่อใช้ประกอบการยกร่างกรอบการเจรจา โดยยังค้างอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ในสมัยของนางพรทิวา นาคาศัย เป็นรัฐมนตรีว่าการ ขณะเดียวกันนายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยในขณะนั้นกลับนำร่างกรอบเจรจาเข้าสู่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการเอฟทีเอโดยยังไม่เคยนำออกไปรับฟังความคิดเห็นประชาชน
นายจักรชัย โฉมทองดี ตัวแทนกลุ่มเอฟทีเอว็อทช์ กล่าวว่า มีข่าวว่าร่างกรอบการเจรจาที่จัดทำไปเองแล้วโดยกระทรวงพานิชย์มิได้ให้ความสำคัญต่อสินค้าที่เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอลซึ่งมีความละเอียดอ่อนและจะส่งผลกระทบด้านสุขภาพและสังคมอย่างกว้างขวาง เป็นที่ทราบดีว่าสินค้าประเภทนี้จะนำมาซึ่งผลประโยชน์มหาศาลให้กับสหภาพยุโรปหากสามารถขยายการบริโภคในประเทศไทยได้ แต่ผลการรับฟังความคิดเห็นประชาชนจากทุกภูมิภาคระบุชัดว่าจะต้องไม่นำสินค้าประเภทเหล้า สุรา มาเจรจาเปิดเสรี
“นอกจากนี้ทราบมาว่า ในร่างกรอบฯยังเปิดโอกาสให้สามารถใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศในประเด็นที่เกี่ยวกับการลงทุนสาธารณะ ซึ่งตรงกันข้ามกับผลการรับฟังความคิดเห็น”
กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน ซึ่งติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง จึงเรียกร้องให้รัฐบาลนำผลการรับฟังความคิดเห็นประชาชนมาพิจารณาเพื่อกำหนดแนวทางการยกร่างกรอบการเจรจาอย่างเร่งด่วนที่สุด และเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 รัฐบาลจะต้องนำร่างกรอบการเจรจามาจัดรับฟังความคิดเห็นประชาชนก่อนการเสนอต่อรัฐสภาต่อไป
สำหรับข้อห่วงใยในเบื้องต้นต่อการเจรจากับสหภาพยุโรปนั้น อาทิ ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับยา และสิ่งมีชีวิต การเปิดเสรีการบริการ การเปิดเสรีสินค้าภาคเกษตร การลดภาษีเหล้า และการคุ้มครองการลงทุนที่จะมีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะในอนาคต .
ที่มาภาพ : http://www.bangkokbiznews.com/2006/01/17/for_net_g004.php