“นานาประชาธิปไตย” ให้เข้าใจ “ประชาธิปไตยไทย” ดีขึ้น
ในหนังสือ เพ่งประชาธิปไตยโลก พิศประชาธิปไตยไทย ศ.ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการสถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ และอธิการวิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต สรุปว่า คนไทยไม่ควรสิ้นหวังกับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ควรทำต่อไป แต่ต้องทำโดยเหลียวมองพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยที่อื่นๆ ของโลกด้วย มิใช่มองเพียงพัฒนาการประชาธิปไตยภายในประเทศ และยึดเอา “ประชาธิปไตยตะวันตก” เป็นแม่แบบที่เที่ยงแท้เพียงหนึ่งเดียวของระบอบการปกครองที่ดี
ประชาธิปไตยไม่ได้เป็นของตะวันตกแต่ผู้เดียว
ศ.ดร. เอนก กล่าวว่าประชาธิปไตยดั้งเดิมไม่ได้ผูกขาดเป็นของคนตะวันตกเท่านั้น แต่คนในหลายอารยธรรมโบราณของโลกตะวันออกก็รู้จักใช้ระบอบการปกครองที่คล้ายๆกับประชาธิปไตยมานานพอๆ หรืออาจจะนานกว่าเอเธนส์ด้วยซ้ำ เช่น ในอารยธรรมของชาวสุเมเรีย (อิรักและอิหร่านในเวลานี้) และฟีนีเชีย (เลบานอนปัจจุบัน) รวมทั้งการปกครองด้วยระบบสภาของบางนครรัฐในอินเดียโบราณ
“ประชาธิปไตยจึงเริ่มต้นก็เป็นของเราด้วย เราในที่นี้คือชาวตะวันออก หาได้เป็นอะไรที่เกิดขึ้นในดินแดนวิเศษคือตะวันตกเท่านั้น หาได้มีชาวตะวันตก ฝรั่งผิวขาวเท่านั้นที่รู้จักใช้ประชาธิปไตย ชาวตะวันออกก็มีประชาธิปไตย รู้ประชาธิปไตย และใช้ประชาธิปไตยมาแต่เนิ่นนาน อย่างน้อยก็เท่าๆกับชาวตะวันตก”
“หากไทยเราจะเป็นประชาธิปไตยแล้ว ก็น่าจะเป็นได้ เพราะมารดาแห่งอารยธรรมเราคือภารตประเทศ ที่ครั้งหนึ่งก็เคยมีประชาธิปไตย ศาสนาพุทธของเราเองก็มีธาตุ มีแก่น ที่มาจากสังคมประชาธิปไตยโบราณมากกว่าที่เราคิด เราจึงไม่มีปมด้อย ปมกำเนิดอะไร ที่จะใช้ประชาธิปไตยไม่ได้ ใช้ประชาธิปไตยไม่เป็น”
ประชาธิปไตยไทยไม่ได้ล้มลุกคลุกคลานอยู่ที่เดียว
ศ.ดร. เอนก กล่าวถึงวาทกรรมในแนวที่ว่าชะรอยประชาธิปไตยจะไม่เหมาะกับสังคมไทยเพราะล้มลุกคลุกคลานผ่านรัฐประหารมาตลอดแปดสิบปีกว่านั้นว่าเป็นการคิดที่ทำให้เราสิ้นหวัง ไม่มีแรงที่จะพัฒนาประชาธิปไตยต่อไป และเป็นการมองแคบอยู่แต่ในประเทศ เพราะเมื่อดูพัฒนาการประชาธิปไตยของโลกตะวันตก เช่น สามแม่แบบ สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส จะพบว่าแต่ละที่ใช้ระยะเวลาสองถึงสามร้อยปีเป็นอย่างน้อย ผ่านทั้งสงครามกลางเมือง รัฐประหาร การรื้อฟื้นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การขึ้นมาเผด็จการสามัญชน ฯลฯ มามากกว่าไทยนัก
“การมองให้กว้างขึ้น จะทำให้เราเห็นอีกประเด็นหนึ่ง คือ ประชาธิปไตยไม่ได้เกิดจากคนดี มีธรรมะ มีจิตสำนึกประชาธิปไตย เขียนรัฐธรรมนูญที่ดีเอาไว้ แล้วบังคับทุกฝ่ายเข้ามาอยู่ในรัฐธรรมนูญนี้ ให้ทุกคนทุกฝ่ายทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง”
แต่
“ประชาธิปไตยแทบทุกแห่งทั่วโลก รวมทั้งในตะวันตกเอง เป็นเรื่องของการต่อสู้ ขัดแย้ง แข่งขัน ประชัน ซึ่งกินเวลานาน บางครั้งค่อยเป็นค่อยไป ปรับเปลี่ยนหรือปฏิรูป แต่หลายครั้งเป็นความรุนแรง เป็นการปฏิวัติ การปราบปราม หลั่งเลือดพลีชีพไม่น้อย ประชาธิปไตยเป็นระบอบการเมืองอันเป็นผลผลิตของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม”
การปฏิรูปประชาธิปไตยไทยโดยอาศัยบทเรียนของนานาประชาธิปไตย
ศ.ดร. เอนกได้สำรวจตัวอย่างการพัฒนาประชาธิปไตยในที่ต่างๆของโลกในเวลานี้ที่ล้วนน่าสนใจ สำหรับนำมาเป็นบทเรียนในการพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทย แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือ ประชาธิปไตยแบบเสียงทั้งหมดร่วมกันปกครอง (Consociational Democracy) ที่พัฒนาขึ้นมาในเบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์
“เพราะนานมามากแล้วที่เราคิดว่า การมีฝ่ายค้านนั้นสำคัญ และไม่สนใจว่าฝ่ายค้านนั้นจะเป็นตัวแทนของกลุ่มชนใหญ่ๆ ที่ขาดเสียไม่ได้ในการบริหารประเทศ เราแยกพรรคต่างๆ ออกจากกลุ่มชน กลุ่มฝ่ายในสังคมมากไป จนมองไม่เห็นจุดอ่อนจากการใช้ประชาธิปไตยแบบแองโกล-แซกซอน (ประชาธิปไตยแบบอังกฤษ-อเมริกา) ที่ใช้เสียงข้างมากในการตั้งรัฐบาล
บัดนี้แจ่มชัดแล้วว่าประเทศเรามี 2 กลุ่ม-ฝ่าย ที่เผชิญหน้า ไม่พูดคุย ตั้งป้อม ห้ำหั่นกัน คือ เหลือง vs แดง
และชัดเจนว่าเหลืองนั้นมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้แทน ส่วนแดงนั้นมีพรรคเพื่อไทยเป็นตัวแทน ควรจะต้องศึกษา Consociational Democracy ให้มากขึ้น นำมาใช้ เพื่อให้ทั้งเหลืองและแดงได้ร่วมกันเป็นรัฐบาล
แต่อย่างไรเสียจะอาศัยแค่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายการเลือกตั้งอย่างเดียวที่จะดึงให้ 2 ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ให้มาร่วมเป็นรัฐบาลเท่านั้นคงไม่พอ หากต้องอาศัยพลพรรคของทั้ง 2 ฝ่าย และฝ่ายนำของทั้งสองฝ่ายปลงใจด้วย ว่าจากนี้ไปประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตยแบบทุกฝ่ายทุกกลุ่มเข้ามาร่วมรัฐบาล ส่วนฝ่ายตรวจสอบนั้นต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของศาล ปปช. และกรรมการอิสระทั้งหลายให้มากขึ้น”
ประชาธิปไตย (แบบตะวันตก) จะไม่ใช่จุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์
“ประชาธิปไตยไม่ใช่ของผูกขาดสำหรับตะวันตกเท่านั้น และในหมู่ประเทศตะวันตกเอง ประชาธิปไตยก็มีหลายระบบ อย่างน้อยสามระบบใหญ่ๆ คือ รัฐสภา ประธานาธิบดี และกึ่งรัฐสภา-กึ่งประธานาธิบดี ในอนาคตอาจมีมากกว่าสามระบบนี้ ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของความสร้างสรรค์ ความริเริ่ม ของประเทศต่างๆ ด้วย ไม่ใช่เรื่องของการไปรับเอาของดีของวิเศษจากตะวันตกผู้สูงส่ง มาพยายามใช้ มาลอกเลียนแบบเป็นสำคัญ โดยไม่กล้าหรือไม่เก่งพอที่จะเสนอหลักนิยมใหม่ ไม่กล้าที่จะออกแบบรัฐธรรมนูญเอง และสร้างระบบใหม่ด้วยตนเอง”
“สำหรับคนตะวันตกรวมทั้งอเมริกัน ประชาธิปไตยกลายเป็นจุดมุ่งหมาย เป็นวิถีชีวิต แต่สำหรับจีนและในอนาคตในซีกตะวันออกของโลกที่อื่นๆ ประชาธิปไตยอาจไม่จำต้องเป็นแบบตะวันตก อาจเป็น Buddhist /Confucian /Islamic Democracy ก็ได้ หรืออาจไม่เรียกว่า Democracy เลยก็ได้ นักคิดชาวจีนหลายคน เช่น Eric X. Li หรือ Zhang Wei Wei เห็นว่าประชาธิปไตยเป็นเพียงวิธีการที่นำไปสู่ธรรมาภิบาล อะไรที่ดี-หยิบเอามาใช้ อะไรที่ไม่ดี-ก็ทิ้งมันไป
สำหรับคนที่เสนอให้สร้างประชาธิปไตยด้วยหลักคิดขงจื่อ (Confucianism) พุทธ (Buddhism) และอิสลาม (Islamism) หรือการสร้างสาธารณนิยมที่เน้นการสร้างพลเมือง (Civic Republicanism) นั้น ความคิดของเขาไม่ควรถูกเย้ยหยันจากพวกเสรีนิยม ซึ่งพวกหลังนี้มักจะเชื่อว่าขอให้คนมีสิทธิเสรีภาพ ที่จะคิด-ทำเพื่อตนเอง โดยตนเองได้ ประกอบกับมีกลไก กติกา สถาบัน เพื่อให้เกิดเสียงข้างมาก เสียงส่วนใหญ่มาปกครองประเทศก็พอเพียงแล้ว เพราะภาพที่เราเห็นในอเมริกาและยุโรปก็คือ ความคิดความเชื่อและกติกา กลไก เพียงแค่นี้ไม่อาจให้กำเนิดรัฐบาลที่เก่ง ดี และกล้าพอที่จะทำอะไรที่มีสาระ มองถึงอนาคต กล้าทิ้งอะไรที่ไม่ดี
ในสภาวะที่ตะวันตกกำลังดิ่งลงหรือกำลังจะจมลง ส่วนจีนกำลังทะยานขึ้นนั้น โลกทั้งใบจะไม่มองประชาธิปไตยแบบตะวันตกเป็นจุดหมายหรือชะตากรรมที่เลี่ยงไม่ได้ ในไทยเราเองก็ถึงเวลาที่เราจะคิดทบทวนกันให้มากขึ้นว่ าการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยอาจจะกลับไปเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตก หรืออาจจะเริ่มรับประชาธิปไตยที่ไม่เป็นของตะวันตกมากขึ้น โดยที่ไม่ทิ้งแก่นแท้ของประชาธิปไตยนั้นจะทำได้อย่างไร”
ที่มา: สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ