ลักษณะกฎหมายเผด็จการในยุค คสช.
ไม่ว่ารัฐคือสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ในโลกสมัยใหม่ความจำเป็นอันชั่วร้ายนั้นจะต้องไม่ทำลายอุดมคติการใช้อำนาจที่ต้องยึดโยงกับประชาชนไว้ ไม่ใช่สร้างระบบราชการอันเข้มแข็งที่ทำลายความรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงในการใช้ชีวิตของประชาชนให้น้อยลงทุกวัน ๆ ดังเช่นที่ คสช. กระทำ...
หนึ่งสัปดาห์เล็กน้อย หลังจากที่เข้ามาเป็นรัฐบาลจากการรัฐประหารยึดอำนาจไปจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยกระทรวงคมนาคมก็เร่งหารือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อปลดล็อกรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม( EIA ) ให้มีระยะเวลาการพิจารณาให้ความเห็นชอบสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้
โครงการนำร่องที่เสนอออกมาก็มีรถไฟทางคู่ 5 สาย รถไฟฟ้าและมอเตอร์เวย์พัทยา-มาบตาพุด โดยจะขอใช้การพิจารณา EIA แบบเร่งรัดช่องทางพิเศษ (EIA Fast Track) ให้แล้วเสร็จภายใน 105 วัน เพื่อสร้างผลงานให้กับภาคธุรกิจทั้งที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนรัฐประหารได้เห็นผลเชิงประจักษ์ว่า ระบอบเผด็จการสามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้ดีกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยในรัฐบาลยิ่งลักษณ์และทักษิณเสียอีก เพราะใช้อำนาจตัดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการจัดทำและพิจารณา EIA ออกไปเสีย
แต่โครงการชิมลางที่ได้รับการยกเว้นการพิจารณาให้ความเห็นชอบ EIA ตามกระบวนการและขั้นตอนปกติของกฎหมายสิ่งแวดล้อม หรือพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 กลับเป็นโครงการศูนย์การแพทย์ศิริราช ที่ คสช. ออกประกาศ คสช. ฉบับที่ 91/2557 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2557 เรื่อง การก่อสร้างอาคารตาม “โครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ พร้อมระบบสาธารณูปโภค” คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อยกเว้นบทบัญญัติของกฎหมายหลายฉบับให้สามารถดำเนินการก่อสร้างอาคารได้ โดยยกเว้นข้อบังคับของ
หนึ่ง กฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ในหมวด 1 ลักษณะของอาคาร เนื้อที่ว่างของภายนอกอาคารและแนวอาคาร
สอง ข้อ 31 ของกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมของกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2556 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินสำหรับที่ดินประเภท ศ.1 (ที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย) การใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทนี้ ให้มีอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (F.A.R.) ไม่เกิน 3:1
สาม ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง ใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ภายในบริเวณฝั่งธนบุรีตรงข้ามบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ ในท้องที่แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี และแขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2535 โดยข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครฉบับนี้ได้กำหนดให้พื้นที่ก่อสร้างโครงการดังกล่าว อยู่ในบริเวณที่ 2 ซึ่งห้ามก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารอื่นใด ยกเว้นอาคารทางศาสนา อาคารที่ทำการของทางราชการ และอาคารที่พักอาศัยที่มิใช่ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว หอพัก หรืออาคารชุด โดยให้มีความสูงไม่เกิน 16 เมตร
สี่ หมวด 5 แนวเขตอาคารและระยะต่าง ๆ ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544
และห้า ในส่วนของการจัดทำรายงาน EIA ได้กำหนดให้การพิจารณาในกระบวนการหรือขั้นตอนใดที่ไม่สามารถดำเนินการได้และจะทำให้การดำเนินโครงการฯดังกล่าวต้องล่าช้าออกไป ก็ให้ได้รับยกเว้นการพิจารณาในขั้นตอนนั้นได้
โครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ฯดังกล่าว เป็นอาคารศูนย์การแพทย์จำนวน 1 หลัง ขนาดความสูง 25 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น เพื่อใช้เป็นศูนย์บริการทางการแพทย์เฉพาะทางด้านต่าง ๆ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 อนุมัติในหลักการโครงการและสนับสนุนด้านงบประมาณให้โครงการแล้ว แต่พื้นที่ที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารค่อนข้างคับแคบบนพื้นที่ 3,017 ตารางเมตร (ประมาณ 1.88 ไร่) จึงจำเป็นต้องสร้างอาคารสูงเพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยอย่างเพียงพอ คสช. จึงออกประกาศคำสั่งยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายหลายฉบับที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้พื้นที่คับแคบในการสร้างอาคารสูง
คล้อยหลังคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 17/2558 เรื่อง การจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 โดยการเพิกถอนสภาพที่ดินตามแนวชายแดนอันเคยเป็นที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินของประชาชน ที่สาธารณประโยชน์ใช้สอยร่วมกันของชุมชนและพลเมือง พื้นที่ป่าไม้ประเภทต่าง ๆ พื้นที่ ส.ป.ก. และที่ดินใช้สอยประเภทอื่น ๆ ให้ตกเป็นที่ราชพัสดุเพื่อนำไปจัดสรรเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา ตราดและหนองคาย รวมทั้งให้บรรดาที่ดินที่ตกเป็นที่ราชพัสดุตามคำสั่งนี้ และที่ดินอื่นที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ หรือ กนพ. กำหนดให้ใช้ประโยชน์ในการใช้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณตำบลป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา และอำเภอเมือง จ.หนองคาย ไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายผังเมืองด้วย จนกว่าจะมีการจัดทำผังเมืองรวมขึ้นใหม่ให้สอดคล้องกับที่ดินที่ถูกแปรสภาพไปเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว
ไม่นานนัก ข่าวที่ กนพ. ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นประธานได้เสนอให้มีการผ่อนปรนหลักเกณฑ์ กฎ ระเบียบและเงื่อนไขไม่ต้องปฏิบัติตามข้อบังของกฎหมายสิ่งแวดล้อมเพื่อเลี่ยงการจัดทำและพิจารณารายงาน EIA บางขั้นตอนให้มีระยะเวลาสั้นลง (EIA Bypass) เพื่อผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีผลเชิงรูปธรรมเร็วขึ้น โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือจัดให้มีคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงาน EIA ด้านอุตสาหกรรมและระบบสาธารณูปโภค (คชก.) ระดับจังหวัด ที่มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสามารถเป็นผู้อนุมัติ/อนุญาตรายงาน EIA ได้เอง ไม่ต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนการพิจารณารายงาน EIA แบบเดิมที่ใช้ระยะเวลายาวนานในการพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกต่อไป ก็ปรากฎขึ้น
ปลายปี 2558 ความพยายามที่จะทำ EIA Fast Track และ EIA Bypass ยิ่งชัดเจนขึ้น โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ขั้นตอนในการดำเนินการ ประกอบด้วย การจัดเตรียมโครงการ การเสนอโครงการ การคัดเลือกเอกชน และการคัดเลือกโครงการ สามารถจัดทำไปพร้อมกับการจัดทำรายงานการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ (Feasibility Study : FS) และการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอให้ FS หรือ EIA ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน จากเดิมหน่วยงานต่าง ๆ จะต้องศึกษา พิจารณาและอนุมัติ/อนุญาตตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดไว้ เรียงลำดับดังนี้ เช่น การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม การจัดเตรียมโครงการ การเสนอโครงการ การคัดเลือกเอกชน และการคัดเลือกโครงการ ฯลฯ ตามลำดับก่อนหลัง
แต่มติ ครม. ดังกล่าวสามารถให้หน่วยงานต่าง ๆ ศึกษา พิจารณาและอนุมัติ/อนุญาตตามขั้นตอนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของตัวเองไปพร้อม ๆ กันหรือคู่ขนานกันไปได้เลย ไม่ต้องรอลำดับก่อนหลังอีกต่อไป ซึ่งรัฐบาลอ้างว่าเป็นการปฏิรูประบบการจัดซื้อจัดจ้างใหม่ที่สามารถย่นระยะเวลาให้กับโครงการที่เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ จากระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี 10 เดือน เหลือเพียง 9 เดือนเท่านั้น
เบื้องต้น คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 6/2558 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 อนุมัติโครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมที่มีความพร้อมในการดำเนินการตามมาตรการ PPP Fast Track จำนวน 5 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 334,207 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี มูลค่าโครงการ 56,725 ล้านบาท โครงรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง มูลค่าโครงการ 54,768 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง – บางแคและช่วงบางซื่อ – ท่าพระ มูลค่าโครงการ 82,600 ล้านบาท โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางประอิน – นครราชสีมา มูลค่าโครงการ 84,600 ล้านบาท และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี มูลค่าโครงการ 55,620 ล้านบาท
แต่ความพยายามของรัฐบาล คสช. ยังไม่หยุดเพียงแค่นี้ กำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้นปี 2559 ยังได้ออกคำสั่งที่เกี่ยวเนื่องกันอีก 3 ฉบับ คือ
1. คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ลงวันที่ 20 มกราคม 2559 เพื่อขยายอำนาจ มาตรา 44 ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 17/2558 เรื่อง การจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 ที่กำหนดให้ที่ดินในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเฉพาะ 3 พื้นที่ คือ บริเวณตำบลป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา และอำเภอเมือง จ.หนองคาย ไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายผังเมือง เปลี่ยนเป็นยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองครอบคลุมพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหมด ได้แก่ เขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา ตราด หนองคาย นราธิวาส เชียงราย นครพนม กาญจนบุรี
2. คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท ลงวันที่ 20 มกราคม 2559 เพื่อขยายอำนาจ ม.44 ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองในโรงงานบางประเภทเพิ่มขึ้นอีก เช่น โรงไฟฟ้าขยะ โรงไฟฟ้าชีวมวล หรือโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงอื่น ๆ โรงงานกำจัดขยะและของเสียต่าง ๆ เป็นต้น
ในระหว่างที่ภาคประชาชนกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านคำสั่งทั้งสองฉบับนี้ แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาล คสช. ไม่ได้สะทกสะเทือนกังวลใจแม้แต่น้อย กลับสวนกระแสความรู้สึกของภาคประชาชนด้วยการออกคำสั่งอีกหนึ่งฉบับ
คือ 3. คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2559 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ 7 มีนาคม 2559 เพื่อยกเว้นโครงการด้านคมนาคมขนส่ง การสร้างเขื่อนและชลประทาน การป้องกันสาธารณภัย โรงพยาบาล และที่อยู่อาศัย สามารถจัดหาผู้รับเหมาเอกชนเพื่อดำเนินโครงการหรือกิจการได้โดยไม่ต้องรอให้ EIA ได้รับความเห็นชอบเสียก่อน
สิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนในรัฐบาลประชาธิปไตย คือ ไม่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติลงไปในกฎหมายระดับพระราชบัญญัตินอกรัฐสภาได้ ดังเช่นที่รัฐบาล คสช. กระทำการนอกรัฐสภาด้วยการเพิ่มเติมวรรคสี่ลงไปในมาตรา 47 ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2559 ดังที่กล่าวไว้แล้ว
เพราะกฎหมายย่อมผูกพันและส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและลบต่อวิถีชีวิตของประชาชนอย่างยาวนานและลึกซึ้ง ดังนั้น อย่างน้อยระบอบการปกครองที่แบ่งแยกการใช้อำนาจ ก็เพื่อให้มีวิธีการใช้อำนาจที่ยึดโยงระหว่างประชาชนกับผู้ที่ตนเลือกมา ไม่ใช่ควบรวมอำนาจบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ เอาไว้ในองค์กรเดียว ดังเช่นที่ คสช. กระทำ
นอกจากการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายระดับพระราชบัญญัตินอกรัฐสภาที่เป็นรูปแบบแรกแล้ว ยังมีการใช้อำนาจนอกรัฐสภาอย่างน้อยอีกสามรูปแบบ
รูปแบบที่สองคือการออกคำสั่งแทนออกกฎหมายและให้กฎหมายที่มีอยู่อยู่ภายใต้บังคับของคำสั่งแทน ทั้งที่สมควรออกเป็นกฎหมายบังคับใช้เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบกระเทือนชีวิตผู้คนจำนวนมากและหลากหลาย เนื่องจากกฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถจัดการหรือบังคับใช้ได้ แต่กลับให้กฎหมายที่มีอยู่อยู่ภายใต้คำสั่งแทน ดังเช่นกรณีการออกคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557, 66/2557 และ 4/2558 เพื่อบังคับให้หน่วยงานเกี่ยวกับป่าไม้ตามกฎหมายป่าไม้ต่าง ๆ และทหารดำเนินการตามแผนแม่บทป่าไม้ฯ โดยรวบอำนาจการจัดการป่าไม้ทั้งหมดเอาไว้ในมือทหารในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของคำสั่งทั้งสามยิ่งซ้ำเติมความทุกข์ยากของประชาชนทั่วทุกภาคให้กลายเป็นผู้ไร้ที่ดินทำกินมากยิ่งขึ้น เพราะทำได้เพียงจับกุมดำเนินคดีกับประชาชนผู้ยากไร้ที่อาศัยในเขตป่าเท่านั้น แต่ไม่สามารถจับกุมดำเนินคดีกับขบวนการลักลอบตัดไม้ที่เป็นนายทุนใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังการบุกรุกที่ดินในเขตป่าได้แต่อย่างใด
รูปแบบที่สาม คือการออกคำสั่งยกเว้นบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ ดังเช่นกรณีประกาศ คสช. ฉบับที่ 91/2557 ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2557 เรื่อง การก่อสร้างอาคารตาม “โครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ พร้อมระบบสาธารณูปโภค” คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อยกเว้นบทบัญญัติของกฎหมายหลายฉบับให้สามารถดำเนินการก่อสร้างอาคารดังกล่าวได้ และการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2559 เพื่อยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองในโรงงานบางประเภท ดังที่กล่าวไว้แล้ว
รูปแบบที่สี่ คือ การออกคำสั่งแทนออกกฎหมายผสมกับการออกคำสั่งยกเว้นบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ ในกรณีนี้ได้แก่ การออกคำสั่ง คสช. ที่ 72/2557 และ 17/2558 แทนการออกกฎหมายโดยการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมาเพื่อกำหนดพื้นที่และจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่ไม่อิงอยู่กับกฎหมายใดหรือไม่มีกฎหมายใดรองรับ และออกคำสั่ง คสช. ที่ 3/2559 เพื่อยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองในพื้นที่ที่ถูกประกาศเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ดังที่กล่าวไว้แล้ว
ไม่เว้นแม้แต่บางเรื่องที่เป็นการกระทำในรัฐสภาเองก็ตาม เช่นร่างพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กำลังอยู่ในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนี้ โดยมุ่งที่จะโอนอำนาจการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ตกอยู่แก่ระบบราชการฝ่ายเดียว เพื่อที่จะย่นระยะเวลาการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ให้สั้นที่สุดเพื่อตอบสนองต่อนโยบายการลงทุนด้านเหมืองแร่ ตัดขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองที่ยึดโยงอำนาจกับประชาชนออกไป บทบัญญัติของกฎหมายเช่นนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนในรัฐบาลประชาธิปไตย
หรือกฎหมายที่มีความสำคัญต่อขบวนการประชาชน เช่นกฎหมายห้ามชุมนุม หรือพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีเนื้อหาแข็งกร้าวปิดกั้นการเคลื่อนไหวของประชาชนแทบทุกรูปแบบ โดยมีบทบัญญัติให้การชุมนุมเกือบทุกประเภทต้องขออนุญาตชุมนุมต่อเจ้าพนักงานก่อน ไม่ใช่เพียงแค่แจ้งให้ทราบเท่านั้น เพราะกฎหมายเปิดช่องให้เจ้าพนักงานสามารถมีความเห็นขัดขวาง หรืออนุญาต/ไม่อนุญาตการชุมนุมได้ และโดยธรรมชาติขององค์กรรัฐจะต้องขัดขวางการเคลื่อนไหวของประชาชนทุกรูปแบบ เพื่อให้สังคมนิ่ง ไม่ให้เกิดความวุ่นวาย ปั่นป่วน โกลาหล
ดังนั้น เจ้าพนักงานจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะระงับยับยั้งการชุมนุมของประชาชนที่แจ้งมา โดยไม่พิจารณาข้อเท็จจริง หรืออยู่บนฐานของความเข้าใจในสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่อยู่บนฐานที่ว่าการชุมนุมทุกประเภทของประชาชนไม่อยากให้เกิดขึ้นมากกว่า มาตรการแข็งกร้าวเช่นนี้ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นในรัฐบาลประชาธิปไตย
เหตุที่กล่าวเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลประชาธิปไตยไม่อยากให้เกิดขึ้น หลายรัฐบาลที่ผ่านมาคงอยากให้เกิดขึ้น แต่ที่เกิดขึ้นไม่ได้เพราะรัฐบาลเหล่านั้นมีภาระทางอำนาจที่ต้องยึดโยงกับประชาชนอยู่พอสมควร จะต้องตัดสินใจภายใต้การผันแปรกับเสียงที่จะได้จากประชาชน จึงทำให้นโยบายและกฎหมายเหล่านั้นต้องปรับสมดุลย์ของมาตรการบังคับใช้ให้อ่อนตัวลง ไม่ใช่แข็งกร้าวแบบที่ คสช. กระทำ
ดังจะเห็นข้อเท็จจริงแทบทุกเรื่องที่ คสช. กระทำ ที่ล้วนถูกผลักดันกันมาหลายรัฐบาลแล้ว แต่ไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษ กฎหมายแร่ กฎหมายห้ามชุมนุม การยกเว้นบังคับใช้กฎหมายผังเมืองเพื่อหลีกทางให้กับการจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรม การลดขั้นตอนการทำและพิจารณา EIA ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุน ฯลฯ เพราะติดขัดตัวบทกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ ครั้นจะแก้ไขเพิ่มเติมหรือออกเป็นกฎหมายฉบับใหม่บังคับใช้ก็มีอำนาจจำกัด
ต่างจากการใช้อำนาจของ คสช. ที่ใช้โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกร้อนหนาวผูกพันกับประชาชนแต่อย่างใด