พล.อ.สำเร็จ: ไฟใต้สงบยังมองไม่เห็นทาง แนะ กอ.รมน.ปรับโครงสร้างยุทธวิธี
การระดมสรรพกำลังทุกด้านเพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ในยุค คสช.นี้ และยังให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) เป็น "หน่วยนำ" ในการขับเคลื่อนทั้งยุทธการและงบประมาณ เพื่อความเป็นเอกภาพ ทำให้หลายฝ่ายคาดหวังว่าสถานการณ์ความไม่สงบที่ปลายด้ามขวานจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แต่แล้วก็ยังมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นต่อเนื่อง แม้ปริมาณและความถี่ดูเหมือนจะลดลง แต่ในทางความรู้สึกไม่ลดลงเลย
ปัญหาอยู่ตรงไหน? เป็นคำถามที่ใครหลายคนคงตั้งขึ้นในใจ “ทีมข่าวอิศรา” จับเข่าคุยกับ พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งได้รับการยอมรับทั้งในแง่ฝีมือการรบ และองค์ความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างกลุ่มก่อความไม่สงบนาม “บีอาร์เอ็น” มากที่สุดคนหนึ่ง เพื่อไขคำตอบให้กระจ่าง
ไม่เหมือนสู้คอมมิวนิสต์
สงครามความไม่สงบ ณ ดินแดนปลายด้ามขวาน มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับสงครามต่อต้านผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่ไทยหาทางออกได้อย่างงดงามเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่กับมุมมองของ พล.อ.สำเร็จ ซึ่งเคยผ่านมาแล้วทั้ง 2 สมรภูมิ กลับเห็นว่าแทบไม่มีอะไรที่เหมือนกัน
“ในแง่ยุทธวิธีมันมีความแตกต่างกัน เพราะผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จะตั้งฐานที่มั่นบนภูเขา หรือพื้นที่ที่เข้าไปถึงได้ยาก เช่น เขาค้อ (จ.เพชรบูรณ์) ภูหินร่องกล้า (จ.พิษณุโลก, เลย) หรือถ้าภาคใต้ก็อย่างเขาช่องช้าง (จ.สุราษฎร์ธานี) และจะมีหมู่บ้านที่คอมมิวนิสต์จัดตั้งไว้โดยรอบฐาน เพื่อสกัดกั้นการเข้าตีของเจ้าหน้าที่ พร้อมรายงานความเคลื่อนไหวและส่งเสบียงอาหาร การรบช่วงนั้นจึงใช้เครื่องบินและทหารราบในการเข้าปราบปราม แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถรบชนะผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ได้ทันที
ในที่สุด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ในตอนนั้น ได้ค้นพบวิธีการเข้าถึงกลุ่มคนเป้าหมาย โดยการใช้งานมวลชน คือการทำให้มวลชนที่สนับสนุนคอมมิวนิสต์มาเข้ากับฝ่ายรัฐ ทำให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์อ่อนกำลังลงไป ประกอบกับสถานการณ์คอมมิวนิสต์สากลมีความขัดแย้งกันเอง ทำให้ฝ่ายรัฐบาลได้เปรียบขึ้นมา เมื่อมวลชนที่สนับสนุนคอมมิวนิสต์ลดน้อยลง ก็ทำให้คอมมิวนิสต์สลายไปเอง
แต่กับสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้มันมีความแตกต่างกัน ผมเคยลงไปทำงานในพื้นที่และศึกษาสถานการณ์นี้เป็นเวลาหลายปี พบว่าแนวทางที่กลุ่มคนมลายูกลุ่มหนึ่งได้จัดตั้งขึ้นเพื่อต่อสู้กับรัฐไทย นั่นคือ ‘กลุ่มบีอาร์เอ็น’ นั้น แนวทางการต่อสู้ของเขาในสมัยก่อนจะคล้ายกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ มีการตั้งฐานที่มั่นอยู่บนภูเขา และจัดตั้งหมู่บ้านไว้รอบฐาน กระทั่งถึงปี 2527 กลุ่มบีอาร์เอ็นจึงรู้ว่าการใช้รูปแบบเก่าไม่สามารถไปต่อได้ จึงได้เปลี่ยนแนวทางต่อสู้ใหม่ โดยการมาอยู่ในพื้นที่ราบ และใช้เฉพาะชาวบ้านที่เป็นชาวมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นฐานในการต่อสู้กับรัฐไทย ทั้งเป็นกำลังทหารหรือกลุ่มที่คอยสนับสนุน
เขาใช้เวลาในการบ่มเพาะกว่า 20 ปี เรียกได้ว่าใช้เวลาในการปรับจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยปรับความคิดตั้งแต่เด็กๆ จนถึงวัยที่ทำงานได้
ต่อมาปี 2547 กลุ่มบีอาร์เอ็นก็เริ่มปฏิบัติการแรก นั่นคือ การปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็ง อ.เจาะไอร้องจ.นราธิวาส (ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ 4 ม.ค.47) และเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งการปล้นปืนครั้งนั้นก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ เนื่องจากกลุ่มบีอาร์เอ็นได้เปลี่ยนวิธีการต่อสู้ มาเป็นการใช้ ‘องค์กรลับ’ แทนการต่อสู้แบบเปิดเผยตัวและฐานที่มั่น
เขาปิดบังทุกอย่าง ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ส่วนหน่วยยุทธวิธี เขาจะใช้เป็นหน่วยขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า ‘อาร์เคเค’ ซึ่งหนึ่งชุดจะมีอาร์เคเคแค่ 6 คนมาต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ และใช้การต่อสู้แบบก่อการร้าย เพราะจำนวนคนมีน้อยกว่าทหารไทย
ขณะที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ ทางการสามารถจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องได้หลายราย แต่ยังไม่รู้วิธีที่จะเข้าถึงกลุ่มบีอาร์เอ็นได้ จนวันหนี่งสามารถหาวิธีเข้าถึงและทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรายนั้นเปิดเผยตัวว่าเป็นบีอาร์เอ็น จึงทำให้รู้ถึงโครงสร้างและทราบว่าบีอาร์เอ็นวางรากฐานไว้ตามหมู่บ้านในสามจังชายแดนภาคใต้เรียบร้อยแล้ว โดยกำหนดหมู่บ้านไว้ 3 รูปแบบด้วยกัน คือ
1.หมู่บ้านสะอาด คือ หมู่บ้านที่มีคณะกรรมการบริหารเป็นพรรคพวกบีอาร์เอ็นเอง อาจจะเป็นคณะกรรมการซ้อน หรืออาจเป็นกลุ่มเดียวกับคณะกรรมการหมู่บ้านที่รัฐไทยจัดตั้งไว้ ซึ่งหน่วยรบอาร์เคเคสามารถเข้ามาอยู่อาศัยได้
2.หมู่บ้านสมบูรณ์ เป็นหมู่บ้านที่บีอาร์เอ็นจัดตั้งคนบริหารไว้แล้ว มีอำนาจซ้อนอยู่ในหมู่บ้านที่บริหารโดยคณะกรรมการของรัฐไทย
และ 3.หมู่บ้านจัดตั้งทั่วไป คือหมู่บ้านที่บีอาร์เอ็นจัดโครงสร้างไว้ แต่ยังไม่สามารถดำเนินการยึดเป็นของตนเองได้”
เข้าถึง-เข้าใจ “บีอาร์เอ็น”
คำถามต่อมาก็คือ เมื่อสภาพปัญหาและวิธีการต่อสู้แตกต่างจากสงครามปราบปรามคอมมิวนิสต์ที่ไทยคุ้นเคย แล้วทางออกของสถานการณ์นี้คืออะไร?
พล.อ.สำเร็จ บอกว่า ไม่มีวิธีอื่นนอกจากเรียนรู้บีอาร์เอ็นให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
“ผมคิดว่าจะต้องมีการศึกษาโครงสร้างหมู่บ้านที่บีอาร์เอ็นจัดตั้งไว้แล้ว และต้องหาให้ได้ว่าใครเป็นผู้ที่ดูแลหมู่บ้านนั้น ซึ่งรัฐไทยควรต้องรู้ได้แล้ว เพราะเวลาผ่านมากว่าสิบปีแล้ว ตั้งแต่ช่วงปี 2551 เป็นต้นมา คณะบริหารหมู่บ้านที่บีอาร์เอ็นได้จัดตั้งเอาไว้ เริ่มไม่ต้องการเป็นสมาชิกของกลุ่ม เนื่องจากเกินกำหนด 1,000 วันที่จะได้รับเอกราชตามที่บีอาร์เอ็นเคยประกาศไว้ จึงมีบางส่วนเริ่มถอนตัวออกมา
ดังนั้น การต่อสู้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้ ผมจึงมองว่าเป็นสงครามประชาชนที่ต่อสู้กับรัฐ ซึ่งกลุ่มบีอาร์เอ็นจะอยู่ต่อไปได้ก็ต่อเมื่อมีประชาชนคอยสนับสนุน ปัจจุบันมีบางคนหรือหลายคนที่ไม่อยากเข้าร่วมกลุ่มบีอาร์เอ็น แต่จำเป็นต้องอยู่เพื่อความปลอดภัย ฉะนั้นเจ้าหน้าที่รัฐควรเข้าไปทำความรู้จักคุ้นเคยกับประชาชนในหมู่บ้านที่บีอาร์เอ็นจัดตั้งไว้ เข้าไปบ่อยๆ และสร้างความเป็นมิตรกับชาวบ้าน ไม่ใช่สร้างศัตรู
ถ้าดึงชาวบ้านหรือแม้แต่ระดับคณะกรรมการหมู่บ้านมาเป็นฝ่ายเราได้ ให้คนเหล่านั้นไว้ใจทหาร มีปัญหาอะไรก็มาหามาบอกทหาร ผมคิดว่าสถานการณ์โดยรวมก็จะดีขึ้น แต่วันนี้ถามว่าเราทำได้อย่างนั้นหรือยัง
ส่วนการออกลาดตระเวนพื้นที่ในเวลากลางวันที่เจ้าหน้าที่ทหารทำอยู่ทุกวันนี้ ยังไม่ใช่วีธีแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด เป็นเพียงการตั้งรับทางยุทธวิธีเท่านั้น เพราะกลุ่มบีอาร์เอ็นต่อสู้โดยไม่เปิดเผยตัว แต่ของเราเปิดเผยตัว จึงทำให้เขาทราบว่าทหารของเราที่ใส่เครื่องแบบออกลาดตระเวนนั้น มีกี่นาย เวลาเดินทางเข้าออกกี่โมง จึงเป็นเป้าในการถูกโจมตีได้ง่าย ดังนั้นทหารจึงต้องปฏิบัติเชิงรุก ซึ่งคนที่ไม่เคยรบมาก็จะไม่รู้ว่าจะต้องใช้วิธีรบแบบไหน
ความหมายในการรบแบบของผมคือ การทำให้ทหารอาร์เคเคไม่สามารถปฏิบัติการเชิงรุกได้ เพราะอาร์เคเคทำได้แค่เชิงรุกเท่านั้น เช่น ทำอย่างไรให้วางระเบิดไม่ได้ หรือทำอย่างไรไม่ให้ไล่ยิงทหารของเราได้ ซึ่งการปฏิบัติภารกิจของอาร์เคเคแต่ละครั้งจะมีคนมาสำรวจพื้นที่ก่อนลงมือ นั่นคือปัญหาที่เราต้องตีให้แตกว่าควรจะทำอย่างไรไม่ให้เขามาสำรวจพื้นที่ได้ หากเราทำได้ อาร์เคเคก็ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะปฏิบัติการเองในทุกเรื่อง”
ไฟใต้สงบ...ยังมองไม่เห็นทาง!
แล้วก็มาถึงคำถามยอดฮิตที่ว่า สถานการณ์ไฟใต้จะสงบลงได้หรือไม่? แทบไม่น่าเชื่อว่า พล.อ.สำเร็จ กล้าฟันธงถึงขนาดว่า...ยังมองไม่เห็นทาง!
“ในมุมมองของผมยังมองไม่เห็นทางลงที่เหตุการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะสงบทางไหน แต่รัฐบาลควรหาทางทำให้ทหารอาร์เคเคของบีอาร์เอ็นไม่สามารถปฏิบัติการได้ แต่อุดมการณ์ของบีอาร์เอ็นจะคงอยู่จนกว่าจะสิ้นลมหายใจไป
ส่วนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริหารของรัฐไทย ควรจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของ กอ.รมน. (กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร) เพราะเป็นหน่วยที่มีกำลังทหารในมือมากที่สุดในเวลานี้ เพราะ กอ.รมน.ก็คือกองทัพบก ช่วงหลายปีที่ผ่านมา การทำงานของ กอ.รมน.ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน บุคลากรในหน่วยงานมีความเหมาะสมกับหน้าที่จริงหรือไม่ เช่น ควรจัดคนที่มีประสบการณ์ในการรบลงไปเป็นหัวหน้าหน่วยในสนามรบ (หน่วยเฉพาะกิจที่รับผิดชอบแต่ละพื้นที่) และควรให้อำนาจในการตัดสินใจกับเขา แต่ที่ผ่านมาไม่ได้มีความชัดเจน แค่ส่งคนลงไปทำหน้าที่เท่านั้น
ในฐานะที่ผ่านสนามรบมาหลายร้อยครั้ง อยากฝากไปถึงรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด อย่าเอาสถานการณ์ภาคใต้มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง รวมถึงฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลด้วย ที่สำคัญ กอ.รมน.ควรจะทำงานเพื่อประชาชน และให้เกิดความสงบในจังหวัดชายแดนใต้อย่างจริงจัง เพราะวันนี้กลุ่มบีอาร์เอ็นไม่ได้มีกองกำลังแข็งแกร่งเหมือนในอดีตอีกแล้ว”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
* อนุรักษ์ เพ็ญสวัสดิ์ เป็นผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ NOW26