รอดเพราะลูก! ‘วัฒนา’เล่าวินาทีระทึกทหารบุกบ้านเชิญปรับทัศนคติ
“…ผมเชื่อว่าถ้าน้องเฟไม่กลับมาแม่บ้านคงจะพาทหารมาเอาตัวผมไปจากห้องนอนแน่เพราะเธอย่อมกลัวทหารเป็นธรรมดา แม้จะกลัวเพียงไรก็ตาม น้องเฟก็ได้ออกไปนั่งคุยกับทหารที่โต๊ะรับแขกที่สนามหน้าบ้านเพื่อถ่วงเวลาไม่ให้พ่อโดนจับ เฟขอให้ทหารออกไปรอนอกรั้วบ้านแต่ทหารไม่ยอมออก ยังตรึงกำลังอยู่หน้าประตูบ้าน อย่างไรก็ตามเฟยืนยันไม่ยอมให้ทหารเข้ามาในบ้าน…”
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Watana Muangsook’ ระบุถึงกรณีทหารบุกเข้ามาเชิญตัวไปปรับทัศนคติ หลังวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2559 ที่ผ่านมา
----
วันนี้ผมจะขอเล่าถึงวีรกรรมของลูกสาวผม ที่ช่วยปกป้องผมจนผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตไปได้ น้องเฟ หรือนางสาววีรดา เมืองสุข ลูกสาวผมเกิดวันที่ 1 ตุลาคม 2540 ขณะนี้อายุ 18 ปีเศษ
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 8.00 น. รปภ ของหมู่บ้านได้โทรศัพท์มาบอกแม่บ้านผมว่าทหารจำนวนมากได้บุกเข้ามาในหมู่บ้านคงจะมาเอาตัวนาย แม่บ้านผมจึงรีบวิ่งขึ้นมาเคาะประตูบอกผมซึ่งขณะนั้นผมป่วยยังนอนอยู่ ผมสั่งแม่บ้านซึ่งมีอยู่สองคนให้ล็อคประตูรั้วห้ามใครเข้ามา จากนั้นผมรีบส่งข่าวบอกคนที่พรรคและสื่อมวลชนทางไลน์เพื่อให้ทุกคนทราบสถานการณ์ ตอนนั้นผมได้ยินเสียงออดหน้าบ้านเข้าใจว่าทหารมากด ผมสั่งให้แม่บ้านไปบอกว่าผมไม่อยู่ออกไปจากบ้านแต่เช้าพร้อมลูกสาว ผมกำชับแม่บ้านห้ามเปิดประตูรั้วเด็ดขาด จากนั้นผมจึงรีบโทรศัพท์ติดต่อลูกที่ไปออกกำลังกายที่เมก้าบางนา ผมเล่าเหตุการณ์ให้ลูกฟังต้องการให้เค้าหลบข้างนอก ผมกลัวลูกจะไม่ปลอดภัยและจะตกใจถ้าเห็นเหตุการณ์ หลังจากได้ฟังผมพูดลูกผมร้องไห้ด้วยความกลัว แต่แทนที่จะหลบไปตามที่ผมบอกเฟกลับขอกลับบ้านมาหาผม
ประมาณ 8.30 น. คนรถผมชื่อจอมได้ขับรถพาลูกสาวผมเข้ามาในหมู่บ้าน แต่เมื่อเข้ามาในซอยบ้าน คนรถเห็นทหารจับกลุ่มอยู่หน้าบ้านจึงขับรถเลยไปจอดอีกซอยคงเพราะเป็นห่วงลูกสาวผม ระหว่างนั้นลูกสาวผมถ่ายรูปที่เกิดขึ้นหน้าบ้านแล้วส่งมาให้ผมดู จากนั้นโทรหาผมและร้องไห้ถามผมว่าจะให้เค้าทำต่อไปอย่างไร ผมบอกลูกว่ากำลังติดต่อพรรคและนักข่าวไม่ต้องเป็นห่วงพ่อ อยากให้ลูกช่วยแอบถ่ายรูปทหารไว้เป็นหลักฐานให้มากที่สุด แล้วให้คนรถรีบพาออกไปจากหมู่บ้าน ไม่ต้องเข้ามาหาพ่อเดี๋ยวทหารจะตามลูกเข้ามาในบ้าน น้องเฟบอกผมว่าทหารเข้าไปในบ้านเต็มไปหมดแล้วพ่อ จากนั้นโทรศัพท์ก็ถูกตัดสาย
ผมมาทราบภายหลังว่าเป็นเพราะทหารบุกมาที่รถคันที่ลูกสาวผมนั่งอยู่ ที่จอดอยู่ในซอยถัดไป ลูกสาวผมเลยรีบตัดสาย ทหารสอบถามคนรถว่าผมอยู่ใหน คนรถโกหกทหารว่านี่ไม่ใช่รถผม เค้าพาลูกเจ้านายมาหาเพื่อนที่อยู่ในหมู่บ้านนี้เท่านั้น แต่ทหารไม่เชื่อคงเพราะสืบมาล่วงหน้าแล้วว่าผมใช้รถหมายเลขทะเบียนอะไรและเคยแอบเข้ามาถ่ายรูปไปหลายครั้งแล้ว ทหารหาว่าคนรถผมโกหกเจ้าหน้าที่จึงสั่งให้ลงจากรถจะนำตัวขึ้นรถจี๊บทหารไปสอบสวน ลูกสาวผมจึงตัดสินใจบอกกับคนรถว่า "พี่จอมไม่ต้อง เดี๋ยวเค้าทำร้ายพี่จอมเฟจะไปเอง" น้องเฟจึงลงจากรถจะไปขึ้นรถจี๊บทหารแต่คนรถกลัวลูกสาวผมจะไม่ปลอดภัย จึงต่อรองขอขับรถพาน้องเฟกลับบ้านด้วยตัวเอง ปรากฏว่าทหารยอมจึงขับรถจี๊บทหารประกบรถลูกสาวผมพากลับมาที่บ้าน
มาถึงบ้านน้องเฟขอเข้าบ้านเพื่อเข้าห้องน้ำ ลูกผมสั่งให้แม่บ้านปิดประตูบ้านแต่แม่บ้านไม่กล้า ขณะนั้นแม่บ้านผมเปิดประตูบ้านที่ชั้นล่างให้ทหารแล้ว ทราบภายหลังว่าถูกทหารขู่ว่าถ้าไม่เปิดประตูให้จะถูกจับไปด้วยอีกคน ผมเชื่อว่าถ้าน้องเฟไม่กลับมาแม่บ้านคงจะพาทหารมาเอาตัวผมไปจากห้องนอนแน่เพราะเธอย่อมกลัวทหารเป็นธรรมดา
แม้จะกลัวเพียงไรก็ตาม น้องเฟก็ได้ออกไปนั่งคุยกับทหารที่โต๊ะรับแขกที่สนามหน้าบ้านเพื่อถ่วงเวลาไม่ให้พ่อโดนจับ เฟขอให้ทหารออกไปรอนอกรั้วบ้านแต่ทหารไม่ยอมออก ยังตรึงกำลังอยู่หน้าประตูบ้าน อย่างไรก็ตามเฟยืนยันไม่ยอมให้ทหารเข้ามาในบ้าน ให้รอที่โต๊ะรับแขกที่สนามหน้าประตูบ้านแทน ในขณะเดียวกันก็แอบส่งรูปทหารให้ผม น้องเฟเล่าว่าเธอขอทหารเข้ามาในบ้านเพื่อเข้าห้องน้ำและขอปิดประตูหน้าบ้านเพื่อความปลอดภัย จากนั้นเฟก็วิ่งขึ้นมาหาผมที่ห้องนอนเพื่อปรึกษา ลูกสาวผมยังร้องไห้บอกว่าเฟกลัว ระหว่างนั้นสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป
ประมาณเกือบ 10.00 น. นักข่าวเริ่มมาพร้อมที่หน้าหมู่บ้านแต่ถูกทหารกันห้ามเข้า ไม่มีใครสามารถเข้ามาในหมู่บ้านได้เลย แต่มีคุณสาโรจน์ หงษ์ชูเวช รองผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทยหลุดรอดเข้ามาหาผมที่บ้านได้ สาโรจน์บอก รปภ ว่ามาบ้านเลขที่ 84 ทหารคิดว่าเป็นคนในหมู่บ้านเลยปล่อยเข้ามา ผมทราบว่าคุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็กำลังตามมาด้วยแต่ยังติดไฟแดงที่สี่แยกอ่อนนุช ส่วนหลายท่านที่ผมไม่ได้เอ่ยนามกำลังประสานนักข่าว องค์กรทั้งภายในและต่างประเทศเพื่อจะช่วยผม เมื่อผมทราบว่านักข่าว ผู้ใหญ่ในพรรคมาพร้อมที่จะอยู่เป็นเพื่อนและให้คำแนะนำลูกสาวผมได้ ผมจึงหมดห่วงและบอกให้ลูกสาวแจ้งทหารไปว่าขอเวลา 15 นาที เพื่อเตรียมตัว จากนั้นผมรีบแต่งตัว ลงมาทานอาหารและกินยาหลังอาหาร เมื่อเรียบร้อยแล้วผมจึงออกไปพบทหารที่หน้าบ้านและถูกควบคุมตัวขึ้นรถตู้ปิดทับกระจกและทะเบียน นำตัวผมไปโดยผมไม่ทราบจุดหมายปลายทาง
ก่อนขึ้นรถเจ้าหน้าที่ขอยึดเครื่องมือสื่อสารของผมอ้างว่าห้ามนำติดตัวไป ผมจึงเอาโทรศัพท์สองเครื่องมอบให้น้องเฟถือไว้ สั่งลูกว่าเฉพาะพ่อคนเดียวเท่านั้นที่จะขอโทรศัพท์คืนจากลูกได้ ลูกผมจะขอนั่งรถตู้มากับผมแต่ทหารไม่อนุญาต เฟจึงนั่งรถส่วนตัวผมติดตามรถตู้มา
เมื่อรถออกจากหมู่บ้านนักข่าวพยายามติดตามรถตู้ที่ผมนั่งมา แต่มีการสั่งการให้สกัดอย่าให้ตามได้ ผมมองลอดกระจกเห็นรถตู้ขับเข้ามาในกองพลทหารราบที่ 1 ผมจำได้เพราะเข้ามาเตะบอลบ่อยคิดว่าทหารจะเอาตัวผมมาเก็บไว้ที่นี่ แต่ในที่สุดก็พาผมออกจาก ร 1 ทางด้านหลังผ่านซอยสายลม พาทะลุข้ามทางรถไฟมาที่ มทบ 11 อันเป็นสถานที่ควบคุมตัวผมแต่ไม่มีรถนักข่าวสามารถติดตามมาได้ ผมยังไม่เข้าใจจนบัดนี้ว่าทำไมทหารจึงต้องพาผมหลบหนีนักข่าว
ผมมาถึง มทบ. 11 เวลา 11.30 น. ตรวจเช็คร่างกายและถูกส่งมาควบคุมในห้องสี่เหลี่ยมขนาด 5x8 เมตร มีนายทหารมาคุยกับผมสองชุด ทุกคนต่างปฏิบัติตัวและพูดคุยกับผมอย่างสุภาพ จนกระทั่งเวลา 21.30 น. มีเจ้าหน้าที่เข้ามาพบผมที่ห้องบอกว่าจะพาผมไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน. นางเลิ้ง จากนั้นทหารจะส่งผมกลับบ้าน รถตู้คันเดิมแต่คราวนี้ไม่ปิดทับป้ายทะเบียนและกระจกได้พาผมมาถึง สน. นางเลิ้งประมาณ 22.10 น. ผมถูกพิมพ์มือทำประวัติอาชญากร ถูกแจ้งข้อหา เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่อนุญาตให้ผมกลับบ้านโดยให้ไปประกันตัวที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ในเวลา 9.30 น. รถตู้คนเดิมก็ได้พาผมกลับมาส่งบ้าน
ระหว่างทางกลับ หัวหน้าชุดที่มียศเป็นร้อยโทได้นำโทรศัพท์มือถือรุ่นโบราณที่โทรเข้าออกได้อย่างเดียว ใส่ไว้ในถุงพลาสติคมามอบให้ผมบอกว่าลูกสาวท่านเอามาฝากไว้ให้เผื่อติดต่อ ผมรับไว้ด้วยความงงแต่ไม่ได้พูดอะไร หัวหน้าชุดได้ชวนผมคุยแล้วพูดขึ้นว่า "ถ้าลูกผมได้เศษหนึ่งของลูกสาวท่านผมคงภูมิใจและมีความสุขมาก ลูกสาวท่านเก่งและกล้าหาญมาก ไม่ได้แสดงความกลัวพวกผมเลย" นี่คือคำพูดที่ผมได้ฟังมา ผมถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรเค้าให้ผมไปถามลูกผมเอง
คำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนถึงบ้านคือ "ลูกกับพ่อนิสัยเหมือนกันจริงๆ" ผมมาถึงบ้านประมาณ 23.10 น.
ผมถามน้องเฟว่าเอาโทรศัพท์อะไรไปฝากให้พ่อ ลูกเล่าให้ฟังว่ามีทหารในรถจี๊บขับมาที่บ้านบอกว่าผมให้มาเอาโทรศัพท์ไว้ติดต่อเพราะเบอร์ต่างๆ ถูกบันทึกไว้ในเครื่อง ลูกสาวผมไปขอโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงินของแม่บ้าน โทรศัพท์สั่งเลขาผมให้เติมเงินให้เพราะแม่บ้านไม่มีเงิน แล้วเอาโทรศัพท์ของแม่บ้านฝากไปให้ผม เฟบอกว่าคุณพ่อรู้เบอร์เฟมีอะไรให้คุณพ่อโทรมาหา เฟรู้รหัสของพ่อจะหาข้อมูลให้พ่อเอง โทรศัพท์เครื่องนั้นคือเครื่องที่ทหารคืนให้ผมในรถแต่บอกว่าลูกสาวผมเอามาฝากไว้ซึ่งไม่จริง ความจริงคือลูกผมไม่เชื่อที่ทหารบอกเค้าเลยเอาโทรศัพท์แม่บ้านส่งไปแทน
ผมถามลูกว่าลูกคุยอะไรกับพวกเค้า เฟเล่าให้ฟังว่าเฟถูกทหารกดดันถามที่อยู่พ่อ เฟบอกทหารไปว่า "น้าทำหน้าที่ของน้า หนูทำหน้าที่ของหนู หนูเป็นลูกหนูไม่บอก" ผมเข้าใจว่าหัวหน้าชุดคนนั้นคงมีลูกสาวในวัยใกล้เคียงกับเฟจึงอาจจะมีความเอ็นดูหรือเมตตาจึงไม่ใช้กำลังบุกเข้ามา หรืออาจจะไม่แน่ใจว่าผมอาจออกไปพร้อมกับลูกตั้งแต่เช้าแล้วก็เป็นได้ ผมถามลูกว่าเฟได้ร้องไห้หรือเปล่า เพราะทุกครั้งที่พูดกับผมหรือแอบขึ้นมาหาผมเฟจะร้องไห้และบอกหนูกลัว เฟบอกพ่อว่าหนูร้องกับพ่อแต่ไม่ร้องกับคนอื่น นั่นคงเป็นที่มาของคำพูดที่ว่าลูกสาวผมกล้าหาญมากและไม่กลัวใคร นี่ถ้าพวกนั้นรู้ว่าลูกผมแอบร้องไห้กับผมคงไม่พูดแบบนั้นออกมา
น้องเฟเล่าให้ผมฟังว่าถ้าผมไม่กลับบ้าน ในวันที่ 3 มีนาคม เวลา 9.00 น. เฟจะทวงพ่อคืนที่ทำเนียบรัฐบาล ถ้าไม่ได้คืนเวลา 10.00 น. เฟจะไปที่ UN ขอให้ช่วยติดตามผม โชคดีที่พ่อกลับมาไม่งั้นเฟต้องไปตามหาพ่อ
ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชน พี่น้องสื่อมวลชน ท่านนายกยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย พี่อ้วนหรือเลขาภูมิธรรม กลุ่มประชาธิปไตยใหม่ คณาจารย์ในมหาวิทยาลัย องค์กรต่างๆ เพื่อนๆ พี่น้องในพรรคเพื่อไทยทุกท่านที่ผมอาจจะเอ่ยนามไม่หมด ที่ช่วยกันทุกทางทั้งการเผยแพร่ข้อมูล ติดตามและเรียกร้องให้ปล่อยตัวผมจนทำให้ผมได้รับอิสรภาพอย่างรวดเร็ว ฟังคำให้สัมภาษณ์ของผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง ผมน่าจะได้กินข้าวฟรีอย่างน้อย 3-7 วัน แต่ก็ได้กลับในวันเดียวกันนั้น
สำหรับผู้ที่มีลูกทุกท่านคงจะมีความสุขเหมือนกับผม แต่เชื่อผมเถิดว่าลูกทุกคนล้วนรักพ่อแม่และพร้อมจะปกป้องพ่อแม่ของตัวเองทั้งสิ้น ลูกผมไม่ได้ฉลาดกว่าเด็กอื่น แต่เป็นเพราะประสบการณ์ที่ลูกผมเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงบัดนี้เหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดกับผมมา 4 ครั้งแล้ว เลยทำให้เฟมีประสบการณ์ไม่เช่นนั้นคงมอบโทรศัพท์ให้ไป ป่านนี้ข้อมูลในโทรศัพท์ผมคงถูกเจาะไปเรียบร้อยแล้ว ผมลืมบอกไปว่าชื่อลูกสาวคือ "วีรดา" ผมเป็นคนตั้งให้ลูกเอง แปลว่า "ความกล้าหาญ" ครับ
วัฒนา เมืองสุข
5 มีนาคม 2559
หมายเหตุ : ภาพประกอบจากเฟซบุ๊กนายวัฒนา