เด็กเล็กเป็น ‘วัยทองคำ’ ทุ่มงบฯ ขยายเงินอุดหนุน ผลลงทุนคุ้มค่า
5 เดือน โครงการเงินอุดหนุนเด็กเล็กฯ ยูนิเซฟ-พม. ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงาน เตรียมชง ครม.ขยายต่อเนื่อง 0-3 ปี ุ600 บ./เดือน หลังประสบความสำเร็จ มีผู้ลงทะเบียนรับสิทธิเกินครึ่ง หลายครอบครัว นำเงินซื้อผ้าอ้อม นม ขนม ช่วยเเบ่งเบาภาระ
“การลงทุนสำหรับเด็กช่วงแรกเกิด – 6 ปี จะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาในอนาคต 7-10 เท่า เนื่องจากมนุษย์มีพัฒนาการสูงสุดในช่วงแรกเกิดและปฐมวัย” นี่คือผลการศึกษาของ ศ.ดร.เจมส์ เจ เฮคแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ปี 2542
นำมาสู่แนวคิดในการสร้างหลักคุ้มครองทางสังคมที่ให้สวัสดิการขั้นพื้นฐานแก่กลุ่มแรกเกิด เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการและเติบโตเป็นทรัพยากรของชาติอย่างมีคุณภาพ โดยถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลายประเทศ หนึ่งในนั้น คือ ประเทศไทยที่เล็งเห็นความสำคัญ
รัฐบาลปัจจุบัน ภายใต้การนำของ ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ จึงเห็นชอบในหลักการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด นำร่อง 1 ปี สำหรับเด็กแรกเกิดที่มีสัญชาติไทย อยู่นอกระบบประกันสังคม มีฐานะยากจน โดยเกิดระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2558-30 กันยายน 2559 คนละ 400 บาท/เดือน เป็นเวลา 12 เดือน
ทั้งนี้ ผ่านมา 5 เดือน ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนแล้ว 64,579 คน คิดเป็นร้อยละ 50.45 (ข้อมูล ณ 26 กุมภาพันธ์ 2559) จากเป้าหมาย 128,000 คน โดยจังหวัดที่มีการลงทะเบียนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ปัตตานี 3,016 คน บุรีรัมย์ 2,657 คน และศรีสะเกษ 2,549 คน ส่วนจังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนน้อยที่สุด ได้แก่ ภูเก็ต 65 คน
แน่นอนว่าประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการนี้ นอกจากสวัสดิการจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายผู้ปกครองแล้ว ยังสามารถเป็นค่าเดินทางพาเด็กไปพบแพทย์ และมีข้อมูลในระบบบริการสาธารณสุข ส่งผลให้เกิดการเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพ แต่การจะสร้างประกันสิทธิให้เด็กได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานมากขึ้น รัฐบาลต้องเดินหน้าขยายโครงการเป็น 0-3 ปี เดือนละ 600 บาท
โดยผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) พบว่า อัตราค่าอาหารสำหรับเด็กเล็กเฉลี่ยประมาณ 600 บาท/เดือน และผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศยังเชื่อว่า อัตราค่าอาหารเท่านี้จะช่วยลดช่องว่างความยากจนมากกว่าเดิม
หากขยายอายุถึง 3 ปี จะใช้งบประมาณ ปีละ 2 พันล้านบาท เท่านั้น คิดเป็นร้อยละ 3 ของค่าใช้จ่ายโครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ใช้งบประมาณ ปีละ 7 หมื่นล้านบาท
ครอบครัวเด็กวอนรัฐเห็นใจ เพิ่มเงินอุดหนุนต่อเนื่อง 600 บ.
“อยากซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ลูกใส่ ตัวละร้อยกว่าบาท แต่ไม่มีปัญญาซื้อให้”
เสียงตัดพ้อในชีวิตของ ‘ดาวน้อย สายดวง’ วัย 33 ปี ชาวอ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ มีลูก 4 คน อายุ 14 ปี, 9 ปี, 3 ปี และคนสุดท้องอยู่ในครรภ์ โดยเธอต้องเลี้ยงดูลูกเพียงลำพัง ส่วนสามีออกไปทำงานต่างจังหวัด ส่งเงินกลับมาเดือนละ 1,500 บาท เท่านั้น
ดาวน้อย บอกว่า ครอบครัวประสบความยากลำบาก มีลูกหลายคน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายมีจำนวนมาก แต่ละวันนอกจากต้องให้เงินลูกไปโรงเรียน 3 คน เกือบ 100 บาทแล้ว ยังมีค่ากับข้าว และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ด้วย ทุกวันนี้จึงต้องเก็บผัก หาปลา ประทังชีวิตในแต่ละวัน
เธอคงได้เพียงหวังให้อนาคตลูกทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะลูกคนสุดท้อง ซึ่งทันทีที่ลืมตาดูโลกจะได้รับสิทธิ์โครงการเงินอุดหนุนฯ เดือนละ 400 บาท ทันที สำหรับนำมาซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำหรับเด็ก เช่น ผ้าอ้อม นม ขนม
แม้จะเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่สามารถแบ่งเบาภาระ อีกทั้ง ช่วยสร้างเสริมพัฒนาการที่ดีกับเด็กได้ ดาวน้อย จึงขอเป็นตัวแทนขอบคุณรัฐบาลที่เห็นความสำคัญของเด็กเล็ก และหากเป็นไปได้เธอขอโอกาสในการขยายโครงการที่ดีเช่นนี้ต่อเนื่องมากกว่า 1 ปี
(ดาวน้อย สายดวง กับลูก ๆ ที่น่ารัก)
ขณะที่ครอบครัวของ ‘อภิญญา สัตตารัมย์’ วัย 27 ปี เธอป่วยเป็นโรคแขนขาอ่อนแรง มีลูก 2 คน คนโต 8 ขวบ และคนเล็ก 4 เดือน โดยได้รับสิทธิ์ในโครงการเงินอุดหนุนฯ 400 บาท/เดือน สามารถนำมาช่วยแบ่งเบาภาระได้ ซึ่งที่ผ่านมานำมาใช้จ่ายซื้อผ้าอ้อม อาหาร และนม
ชีวิตของเธอโชคร้าย เนื่องจากลูกคนเล็กสำลักน้ำคร่ำ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถดูดนมแม่ได้ แพทย์จึงต้องให้นมผ่านสายยางเข้าไปในกระเพาะอาหาร หากวันใดสายยางหลุดก็ต้องรีบนำลูกไปพบแพทย์ทันที เสียค่าเดินทางเพิ่มขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม พยายามหาข้อมูลเลี้ยงลูกจากอินเทอร์เน็ต ผ่านบริการโปร 12 บาท/วัน เพื่อหวังให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีขึ้น
อภิญญา บอกด้วยว่า รายได้ของครอบครัวที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอ เพราะปัจจุบันสามีทำงานเป็นลูกจ้างร้านวัสดุก่อสร้างคนเดียว มีรายได้วันละไม่กี่ร้อยบาท จึงวอนขอให้รัฐเห็นใจ ขยายโครงการเงินอุดหนุนฯ ถึงอายุ 3 ปี 600 บาท/เดือน
ก่อนทิ้งท้ายว่า “แม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เชื่อว่าอนาคตลูกจะเลือกเป็นได้”
นี่เป็นตัวอย่างครอบครัวยากจนที่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด นำร่อง 1 ปี
(อภิญญา สัตตารัมย์ กับลูกวัย 4 เดือน)
‘ยูนิเซฟ’ ชม รบ.ดำเนินงานดี -พม.เตรียมชง ครม.ขยายโครงการฯ
‘โธมัส ดาวิน’ ผู้แทนองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย ในฐานะองค์กรร่วมผลักดันโครงการฯ บอกว่า นอกจากโครงการเงินอุดหนุนฯ จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในประเทศแล้ว ยังมีส่วนช่วยเหลือเด็กยากจนให้มีโอกาสพัฒนาตนเองอย่างเท่าเทียมกับผู้อื่น ฉะนั้นการลงทุนในเด็กเล็ก 0-6 ปี จึงมีความสำคัญมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่สมองมีพัฒนาการสูงสุด
“ประเทศไทยดำเนินโครงการอย่างดีมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประสบการณ์ในต่างประเทศ ที่สำคัญ ยังก่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างดีกับกระทรวงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย”
เขายังชื่นชมรัฐบาลไทยอีกว่า ดำเนินโครงการและติดตามประเมินผลอย่างดี ทำให้ทราบว่าโครงการจะมีประโยชน์กับเด็กอย่างไร และมีสิ่งต้องปรับปรุงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม อยากให้มีการขยายโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องมากกว่า 1 ปี
“ผมอยากเห็นการขยายโครงการเงินอุดหนุนฯ จากเดิม 0-1 ปี เป็น 0-3 ปี” โธมัส ระบุถึงความคาดหวัง และว่า น่าจะเกิดขึ้นจริง เพราะเห็นถึงความตั้งใจของหน่วยงานภาครัฐในความพยายามเสนอโครงการนี้เข้าสู่การพิจารณาของ ครม.
(โธมัส ดาวิน ผู้เเทนองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ติดตามผลดำเนินงานโครงการเงินอุดหนุนฯ)
ด้าน ‘นภา เศรษฐกร’ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยถึงความสำเร็จของโครงการเงินอุดหนุนฯ ว่าที่ผ่านมาดำเนินงานไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากรัฐบาลมองเห็นความสำคัญ เด็กอายุ 0-6 ปี เป็นวัยทองคำ ดังนั้น การให้งบประมาณโครงการนำร่อง 1 ปี เพื่อประเมินว่าประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
โดย 5 เดือนที่ผ่านมา จากการลงพื้นที่และประเมินผลโดยทีดีอาร์ไอ ชี้ให้เห็นว่า สามารถเพิ่มมูลค่าเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำได้มาก และจากการติดตามพบปะหลายครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการ ล้วนนำเงินไปใช้จ่ายที่เกิดประโยชน์กับลูก ดังนั้น ภาพรวมจึงนับว่าประสบความสำเร็จ
เมื่อเปรียบเทียบกับนโยบายอื่น ๆ ที่ภาครัฐพยายามดำเนินงาน โครงการเงินอุดหนุนฯ เหมาะสมจะขยายต่อเนื่องหรือไม่ เธอยืนยันว่า แต่ละโครงการล้วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมแต่ละช่วงวัย และต่างมีความสำคัญทั้งสิ้น แต่โครงการนี้มีความสำคัญมาก เพราะเกี่ยวข้องกับเด็กช่วงวัย 0-6 ปี เมื่อใดที่เด็กได้รับการพัฒนาการอย่างเหมาะสม เชื่อว่าจะเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ ดังนั้นการลงทุนในเด็กวัยนี้จึงคุ้มค่า
(นางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน)
“มองด้วยตาเปล่า ทุกคนบอกว่า โครงการเงินอุดหนุนฯ ดี เพราะผู้จะได้รับเงินต้องมีฐานะยากจน หรือเสี่ยงยากจน เพื่อให้เงิน 400 บาท เกิดประโยชน์จริง ดังนั้น เห็นสมควรต้องขยายโครงการต่อเนื่อง ขณะนี้เตรียมนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. แล้ว”
อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน บอกอีกว่า สิ่งที่จะได้รับต่อเนื่องจากโครงการดังกล่าว คือ หลังจากนี้กลุ่มเป้าหมาย 128,000 คน จะเข้ามาอยู่ในระบบ ภาครัฐจะทราบสถานะของครอบครัว เพื่อจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็น กรณีผู้พิการ ผู้สูงอายุ ไม่มีอาชีพ ตั้งครรภ์ไม่พร้อม เพื่อนำไปสู่สนับสนุนสวัสดิการต่อไป
การลงทุนในเด็กจึงมีความสำคัญ และเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า โดยเปรียบเทียบกับสิ่งที่จะได้รับกลับมาในอนาคต และเมื่อดูท่าทีของ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี ออกมาสนับสนุนการขยายโครงการเงินอุดหนุนฯ จึงมีโอกาสสูงที่เด็กไทยในวันนี้ จะได้รับสิทธิ์ต่อเนื่องถึง 3 ปี .
อ่านประกอบ:ยูนิเซฟสนับสนุนไทยเต็มสูบขยายเงินอุดหนุนเด็ก 0-3 ปี เดือนละ 600 บาท