รัฐบาลยันน้ำกินน้ำใช้เพียงพอตลอดฤดูแล้ง
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับบางพื้นที่แล้งจริง ยันรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ประกาศพื้นที่ประสบภัย 46 อำเภอ 12 จังหวัด ให้ผู้ว่าฯ อนุมัติงบฯ ไปใช้ในระดับอำเภอและท้องถิ่น และขอรับการสนับสนุนรถบรรทุกน้ำหรือเครื่องสูบน้ำได้
วันที่ 27 ก.พ. พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกระแสข่าวว่าจะมีน้ำใช้ไม่เพียงพอในช่วงฤดูแล้งนี้ว่า ไม่เป็นความจริง โดยข้อมูลน้ำของกรมชลประทานล่าสุดมีปริมาณน้ำใช้การได้ใน 4 เขื่อนหลัก 3,068 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเป็นตัวเลขจริงที่ใช้สื่อสารกับประชาชน ไม่รวมน้ำตายหรือน้ำก้นเขื่อนที่มีตะกอน รวมทั้งยืนยันว่า มีน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศน์ผลักดันน้ำเค็มตามลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพียงพอไปจนสิ้นฤดูแล้ง
ส่วนภาคการเกษตรนั้น โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เข้าใจดีแล้วว่ามีน้ำไม่เพียงพอ แต่ก็ยังมีบางพื้นที่ที่ต้องการปลูกข้าวต่อไป โดยยืนยันว่าจะรับความเสี่ยงเอง
“แม้ปริมาณน้ำทุกเขื่อนจะเพียงพอที่จะจัดสรรไปหล่อเลี้ยงคนทั้งประเทศตลอดฤดูแล้ง แต่ต้องยอมรับว่า บางพื้นที่เกิดภาวะแล้งจริง ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ประกาศพื้นที่ประสบภัย 46 อำเภอ 12 จังหวัด เพื่อให้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถอนุมัติงบประมาณไปใช้ในระดับอำเภอและท้องถิ่น และขอรับการสนับสนุนรถบรรทุกน้ำหรือเครื่องสูบน้ำได้ ส่วนภาคการเกษตร ครม.ได้อนุมัติมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผ่าน ธ.ก.ส. รวมกว่า 9.3 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 670,000 ราย”
พลตรีสรรเสริญ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลยังเตรียมเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน ซึ่งเป็น 1 ใน 8 มาตรการรับมือวิกฤตภัยแล้ง โดยจะปฏิบัติการฝนหลวงทั่วประเทศ ตั้งแต่ 1 มี.ค.นี้ ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ กาญจนบุรี อุดรธานี นครราชสีมา จันทบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี และจะดำเนินการขุดบ่อบาดาลเพิ่มอีก 2,000 บ่อ ภายในเดือน เม.ย.ในพื้นที่ประสบภัยแล้งระยะเร่งด่วนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจะมีประชาชนได้รับประโยชน์ 225,733 ครัวเรือน
“นายกฯ เป็นห่วงเรื่องปัญหาภัยแล้งมาก และขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด โดยขอให้ทุกฝ่ายใช้น้ำอย่างประหยัดและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่โดยเคร่งครัด ควบคู่ไปกับมาตรการควบคุมการจ่ายน้ำของการประปา ทั้งนี้ รัฐบาลเตรียมรณรงค์ให้คนไทยประหยัดน้ำอย่างจริงจัง และเชิญชวนประชาชนใช้การรดน้ำดำหัวแทนการเล่นสาดน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำและสืบสานวัฒนธรรมที่งดงาม นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เป็นหน่วยงานหลัก สร้างความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดเรื่องปริมาณน้ำในโรงแรมที่พัก หรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งอาจจะกระทบต่อการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย”