คำเตือนจาก อย.! อย่าทาแป้งใส่สารทัลก์-อันตรายเข้าจุดซ่อนเร้น
อย.เผยติดตามความปลอดภัยแป้งทัลก์อย่างใกล้ชิด พร้อมพิจารณาเพิ่มคำเตือนบนฉลาก ระวังอย่าให้แป้งฝุ่นเข้าจมูกและปาก และสตรีไม่ควรโรยแป้งฝุ่นบริเวณจุดซ่อนเร้น ชี้ ผลตรวจแป้งฝุ่นโรยตัว 73 ตัวอย่าง ไม่พบแร่ใยหินปนเปื้อน
หลังจากมีข่าวว่าคณะลูกขุนในรัฐมิสซูรี มีคำสั่งให้บริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน จ่ายค่าเสียหายแก่ญาติของคุณยายวัย 62 ปี ที่ป่วยเป็นมะเร็งรังไข่และเสียชีวิต โดยได้อัดเทปบันทึกเสียงไว้ว่า ได้ใช้แป้งเด็กของแบรนด์ดังกล่าวทาตรงบริเวณจุดซ่อนเร้นตั้งแต่เด็กจนโต เป็นระยะเวลากว่า 30 ปี จนกระทั่งป่วยเป็นมะเร็งและเสียชีวิตในที่สุด ทำให้เกิดประเด็นถกเถียงทางสังคมว่าการทาแป้งบริเวณจุดซ่อนเร้นเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหรือไม่
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรารายงานว่า สำนักควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ติดตามเฝ้าระวังเกี่ยวกับการปนเปื้อนของแร่ใยหินใน ทัลก์มาโดยตลอด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552-2553 และได้ส่งตรวจวิเคราะห์หาแร่ใยหินในแป้งที่มีส่วนผสมของทัลก์ จำนวน40 ตัวอย่าง ซึ่งใน40 ตัวอย่างนั้นตรวจไม่พบการปนเปื้อนแร่ใยหินแต่อย่างใด นอกจากนี้ในปีงบประมาณพ.ศ.2557 ถึง2558 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ส่งตัวอย่างแป้งที่มีส่วนผสมของทัลก์ ให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจวิเคราะห์ โดยส่งตัวอย่างแป้งฝุ่นโรยตัว จำนวน 73 ตัวอย่าง และทุกตัวอย่างตรวจไม่พบแร่ใยหินปนเปื้อน ทั้งนี้แร่ใยหินเป็นวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ลำดับที่ 757
ข้อมูลจากอย. ระบุอีกว่า ทัลก์เป็นสารที่อนุญาตให้ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางได้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยสารกำหนดชื่อและปริมาณของวัตถุที่อาจใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางลำดับที่59 และกำหนดให้มีคำเตือนที่ฉลากสำหรับผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ว่า “ระวังอย่าให้แป้งเข้าจมูกและปากของเด็ก”
“จากการศึกษาพบว่า ทัลก์ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อสัตว์ทดลอง ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และยังอยู่ระหว่างการวิจัยว่าทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่”
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากสมาคมมะเร็งแห่งประเทศอเมริกา (American Cancer Society) ระบุอีกว่า กรณีการก่อให้เกิดมะเร็งรังไข่ (cancer in the ovaries) เมื่อใช้ทาที่อวัยวะเพศ หรือผ้าอนามัย หรือถุงยางอนามัย นั้น คาดว่า powder particle อาจผ่านเข้าสู่ช่องคลอด มดลูก หรือ fallopian tube เข้าสู่รังไข่ โดยผลการศึกษายังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน เนื่องจากบางการศึกษาพบว่าการใช้แป้งในลักษณะดังกล่าวมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งรังไข่ในขณะที่บางการศึกษาไม่พบว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งทาง The Us National Toxicology Program (NTP) ยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องนี้ว่าแป้งไม่ว่าจะมี asbestos หรือไม่มี จะเป็นสารก่อมะเร็งหรือไม่
“เนื่องจากหลักฐานยังไม่ชัดเจน ทาง American Cancer Society จึงมีข้อแนะนำให้เหลีกเลี่ยง หรือจำกัดการใช้ โดยอาจใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น cornstarch-based cosmetic products แทน เนื่องจากไม่มีพบหลักฐานในขณะนี้ว่าแป้งข้าวโพด สัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง จะเห็นได้ว่าประเทศต่างๆ ยังคงใช้ ทัลก์ ในเครื่องสำอางโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแป้งฝุ่นโรยตัว แต่อย่างไรก็ดีทัลก์ เป็นสารอนินทรีย์ จึงไม่ถูกย่อยสลายตามธรรมชาติ ดังนั้น การทาแป้งโดยเฉพาะตอนโรยแป้ง ผงแป้งจะลอยในอากาศ หากสูดดมเข้าไปในทางลมหายใจเป็นเวลานานจะเกิดการสะสมเป็นก้อนในปอดทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจได้ ดังนั้นเพื่อระวังไว้ก่อน จึงควรหลีกเลี่ยงการโรยแป้งไปที่ตัวเด็กโดยตรง ควรเทใส่มือในปริมาณน้อยๆก่อนที่ทาบางๆบนตัวเด็ก และสตรีไม่ควรโรยแป้งบริเวณจุดซ่อนเร้น”
ทั้งนี้อย.จะเฝ้าระวังเกี่ยวกับความปลอดภัยของแป้งฝุ่นที่มีทัลก์ เป็นส่วนประกอบอย่างใกล้ชิดต่อไปและอาจพิจารณาเพิ่มคำเตือนบนฉลาก เช่น ระวังอย่าให้แป้งฝุ่นเข้าจมูกและปาก และสตรีไม่ควรโรยแป้งฝุ่นบริเวณจุดซ่อนเร้น เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค