ย่างก้าวระบบสุขภาพ...ของเค้าและของเรา?
จากสถิติปีค.ศ.2013 ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วใน OECD
ปรากฏการณ์ "ไม่มีเงิน...รักษาไม่ได้"
หนึ่งในสามของคนอเมริกันจะเคยประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล จนทำให้ไม่สามารถรับการดูแลรักษาได้ ในขณะที่ประชากรของนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และเนเธอร์แลนด์จะเจอปัญหานี้ราวหนึ่งในห้าคน
ปรากฏการณ์ "อยากผ่าเหรอ...รอคิวไปสิ"
ในประเทศแคนาดาผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดแบบไม่ฉุกเฉิน ราวหนึ่งในสี่จะต้องรอคิวผ่าตัดตั้งแต่สี่เดือนขึ้นไป ในขณะที่ออสเตรเลีย นอร์เวย์ สวีเดน และสหราชอาณาจักรจะพบปรากฏการณ์เช่นนี้ราวหนึ่งในห้า
ปรากฏการณ์ "พึ่งกระเป๋าตนเอง"
อเมริกันนำโด่งเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องควักจ่ายเองในเรื่องสุขภาพราว 1,000 เหรียญสหรัฐต่อปี ตามมาด้วยชาวนอร์เวย์ ออสเตรเลีย และแคนาดา ไม่ห่างกันมากนัก ส่วนสหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์จ่ายกันราว 300 เหรียญสหรัฐต่อปี
ปรากฏการณ์ "เจ้ามือหลักเรื่องรายจ่ายด้านสุขภาพ"
มีเพียงสหรัฐอเมริกาที่พบว่า รัฐบาลรับผิดชอบเพียงครึ่งเดียวของรายจ่ายด้านสุขภาพทั้งหมด ในขณะที่ออสเตรเลียและแคนาดา รัฐบาลรับผิดชอบราว 70% ส่วนประเทศอื่นๆ นั้นรัฐดูแลไปเกินกว่า 80% ทั้งนั้น
ที่น่าสนใจมาก คือ ประเทศที่มีปัญหาด้านระบบสุขภาพมากๆ อย่างอเมริกา ดูจะเป็นประเทศเดียวที่มีสัดส่วนของรายจ่ายด้านสุขภาพที่รับผิดชอบอยู่ในมือของระบบประกันเอกชนมากที่สุด ราว 35% ทิ้งห่างประเทศอื่นๆ เกินกว่าสองเท่าขึ้นไปแทบทั้งสิ้น
ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพโดยเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ OECD นี้คิดเป็นราว 9% ของ GDP โดยมีอเมริกาที่นำโด่งถลุ่งไปถึง 17% ของ GDP ต่างจากประเทศอื่นๆ อย่างมาก
ในขณะที่อายุขัยโดยเฉลี่ยของประชากรในกลุ่มประเทศนี้คือ 80 ปี โดยมีจ้าวแห่งรายจ่ายด้านสุขภาพอย่างอเมริกาที่มีอายุขัยเฉลี่ยของประชากรในประเทศต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง 2 ปี แถมนำโด่งเรื่องอัตราการตายที่น่าจะป้องกันได้หากประชาชนสามารถเข้าถึงบริการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที และอัตราประชากรที่มีปัจจัยเสี่ยงเรื่องน้ำหนักเกินและโรคอ้วน
ดูเค้าเหล่านั้นผ่านทางสถิติข้างต้นแล้วลองหวนมาดูประเทศสารขันธ์
...ที่คนในกลุ่มอำนาจกำลังปรับประเทศให้เดินตามแบบอเมริกา
...ที่กำลังมีแนวโน้มลดทอนพลังของประชาชน ทั้งระดับบุคคลและชุมชน
...ที่กำลังทำให้กลไกประชาสังคมลดน้อยถอยลง
...ที่ส่งเสริมทุกกระบวนท่าให้แก่เอกชนกลุ่มนายทุนไม่กี่กลุ่ม
...ที่ออกข่าวว่า จะขายบริการสุขภาพให้ต่างชาติเพื่อหาเม็ดเงินเข้าประเทศโดยหลับตาไม่ยอมมองความเสี่ยงและผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้น
...ที่เห็นแนวโน้มว่า อาจกำลังเข็นให้คนในประเทศต้องควักกระเป๋าร่วมรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล จะจ่ายเอง หรือซื้อประกันเอกชน
...ที่เห็นแนวโน้มว่า นักวิชาเกินด้านประกันตีปีกพรึ่บพรั่บ เพราะเห็นหนทางเรืองรองของอาชีพประกัน และประโยชน์ที่ได้จากระบบประกันเอกชนที่จะเฟื่องฟูรองรับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคม
...ที่เรารู้ว่าข้อมูลไม่ลึกแบบต่างประเทศ แต่ได้ยินมาจนชินว่า จะผ่าตัดทีนึงอาจต้องรอถึงสองปี
มีทางออกบ้างไหม สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งมนุษย์เงินเดือน และคนฐานะยากจน?
มีทางออกบ้างไหม สำหรับบุคลากรสุขภาพที่ตั้งใจมุ่งมั่นอยู่ในระบบสุขภาพภาครัฐ เพื่อดูแลสุขภาวะของประชาชน?
ในเมื่อเห็นอยู่แล้วว่า ทางที่กำลังโดนบังคับให้ก้าวเดินไปนั้น คือ หุบเหวลึกอันมืดมิด
แหล่งอ้างอิง
1. theconversation.com
2. oecd.org