สังฆวิบัติ
เมื่อวันที่ 15 เดือนนี้ (กุมภาพันธ์ 2559) มีการชุมนุมของพระสงฆ์ที่พุทธมณฑล อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม การชุมนุมนั้นสืบเนื่องมาจาก การสัมมนาเรื่อง “สกัดแผนล้มการปกครองคณะสงฆ์ไทย” ซึ่งพระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ออกประกาศเชิญชวนให้พระสงฆ์และบุคคลทั่วไปไปร่วมด้วย เดิมการสัมมนาดังกล่าวกำหนดจะจัดขึ้นที่ท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานครในวันที่ 16 – 17 กุมภาพันธ์ แต่ได้เลื่อนกำหนดขึ้นมาเป็นวันที่ 15 และย้ายไปจัดที่พุทธมณฑลแทน
ประกาศแจ้งเรื่องการสัมมนานั้นอ้างชื่อภาคีเครือข่ายซึ่งประกอบด้วย ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และองค์กรอื่นๆ อาทิ เครือข่ายพระนิสิตมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยทั่วประเทศ สมาคม เปรียญธรรม และองค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เป็นต้น
ขณะที่พระสงฆ์ทะยอยกันเข้าไปในพุทธมณฑลนั้น เจ้าหน้าที่ทหาร นายหนึ่งถูกพระใช้แขนรัดคอ และพระช่วยกันผลักเข็นรถยนต์ของทหารออกจากที่สะกัดกั้น
เมื่อถึงเวลาสัมมนา ปรากฏว่าไม่มีการสัมมนาแต่อย่างใด พระเมธีธรรมาจารย์ขึ้นเวทีแล้วก็อ่าน “สังฆมติ” 5 ข้อ เรียกร้องให้รัฐบาล (1) ห้าม หน่วยงานภาครัฐเข้าไปก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์ ขอให้ทำหน้าที่อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาตามแบบอย่างบรรพบุรุษไทย (2) ขอให้รัฐบาลยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติอันดีงามที่กระทำสืบกันมา คือ การดำเนินการใดๆเกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์ทางรัฐบาลจะต้องปรึกษาและได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคมก่อน (3) ขอให้นายกรัฐมนตรียึดถือดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคมที่เสนอนามสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช (4) ขอให้รัฐบาลสั่งเป็นนโยบายให้หน่วยราชการ ปฏิบัติต่อคณะสงฆ์ด้วยความเคารพเอื้อเฟื้อ ไม่ข่มขู่คุกคามคณะสงฆ์โดยใช้กฎหมาย และ (5) ขอให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ
หลังจากที่พระเมธีธรรมาจารย์แถลงแล้ว พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นิมนต์พระเมธีธรรมาจารย์ ไปพบกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร รับข้อเสนอไว้พิจารณา ยกเว้นข้อสุดท้ายซึ่ง พล.อ.ประวิตรอ้างว่าเป็นเรื่อง ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
ผู้ที่ดูภาพข่าวการชุมนุมของพระสงฆ์ทางวิทยุโทรทัศน์คงจะเห็นทั่วกันว่า พระสงฆ์หลายรูปนอกจากจะแสดงกิริยาวาจาไม่สมกับที่เป็นผู้ทรงศีลแล้ว หลายคน (รวมทั้งพระเมธีธรรมาจารย์เอง) ยังไว้ผมยาวทั้งๆที่เพิ่งพ้นวันโกนมาได้วันเดียว บางคนไว้หนวด บางคนใส่ต่างหู และบางคนนุ่งกางเกงให้เห็นอยู่ใต้จีวรด้วย
ข้อเสนอข้อ 3 ของพระเมธีธรรมาจารย์นั้นมีลักษณะเป็นการยื่นคำขาดให้นายกรัฐมนตรีปฎิบัติตามมติมหาเถรสมาคม ในการเสนอชื่อสมเด็จพระรัชมังคลาจารย์เป็นพระสังฆราช ส่วนข้อเสนออื่นๆก็มีลักษณะเป็นการบังคับมิให้รัฐบาลใช้กฎหมายกับพระสงฆ์จนกว่าจะได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคมเสียก่อน
หากจะถือว่าพระเมธีธรรมาจารย์เป็นตัวแทนของพระสงฆ์และองค์กรต่างๆที่ไปร่วมชุมนุม ก็แสดงว่าพระสงฆ์และองค์กรเหล่านั้นกำลังลืมตัว นึกว่าตนเป็นอธิปัตย์และอยู่เหนือกฎหมายและขนบประเพณีของบ้านเมือง
พฤติการณ์ดังกล่าวไม่ต่างอะไรกับการกระทำของอั้งยี่หรือมาเฟีย ซึ่งหากปล่อยให้ดำเนินต่อไป ก็จะเป็นการท้าทายกฎหมาย และจะทำให้ศรัทธาที่พุทธศาสนิกชนมีต่อพระสงฆ์เสื่อมถอยลง จนเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติบ้านเมือง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าทางด้านศาสนามีพระราชบัญญัติอยู่แล้ว (คงหมายถึงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505) และมีหน่วยงานอยู่แล้ว (คงหมายถึงสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) รัฐบาลจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่จะให้แก้กันเองให้ได้
หากใช้วิธีเช่นว่านั้นจะไม่มีวันที่จะแก้ปัญหาพระสงฆ์ได้เลย เพราะกลุ่มพระสงฆ์และองค์กรพุทธที่มีพระเมธีธรรมาจารย์เป็นแกนนำได้แสดงท่าทีออกมาแล้วอย่างชัดเจนว่าต้องการให้รัฐบาลเป็นฝ่ายอยู่ในอาณัติของมหาเถรสมาคม การแก้ไขปัญหาต้องกระทำโดยรัฐบาล และทำโดยด่วนที่ สุด ด้วยการยับยั้งการกระทำของผู้ที่อ้างตัวเป็นผู้แทนพระสงฆ์และองค์กรพุทธ และหากการกระทำนั้นผิดกฎหมาย ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็จะควรพิจารณาอธิบดีกรมการศาสนา และผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติด้วย เพราะมีพฤติการณ์ส่อว่าไม่เข้าใจปัญหา หรือสนับสนุนการกระทำของพระเมธีธรรมาจารย์และคณะ.
ภาพประกอบจาก manager.co.th