ทีดีอาร์ไอ แนะไทยยกขีดความสามารถสู่ชาติที่เก่งการค้า เจาะตลาดเฉพาะ-สร้างแบรนด์
ประธานทีดีอาร์ไอ คาดการลงทุนไม่สดใส ไทยจะโตช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อไม่เห็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% ง่ายๆ อีกแล้ว แนะเปลี่ยนวิธีคิด มุ่งสู่ยุทธศาสตร์ชาติการค้า เน้นกลุ่มตลาดเฉพาะ เอาการตลาดนำการผลิต
วันที่ 28 มกราคม 2559 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย แถลงข่าวเรื่อง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยยุทธศาสตร์ชาติการค้า (Trading Nation) ณ ห้องประชุม ชั้น 2 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงการส่งออกของไทยในช่วงที่ผ่านมาติดลบต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากย้อนกลับไป 3 ปี พบว่า การส่งออกไทยลดต่ำลงมาก จากปี 2556 อัตราการเติบโตของการส่งออก -0.3% ปี 2557 -0.4% และปี 2558 -5.0% ซึ่งปี 2558 การส่งออกของไทยไปตลาดหลักติดลบหมด ยกเว้นประเทศเพื่อนบ้านและสหรัฐฯ โดยปี 2559 ก็มีการคาดว่า การส่งออกของไทยน่าจะทรงๆ
สำหรับอนาคตการส่งออกไทยนั้น ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ที่น่าเป็นห่วง คือ ประเทศไทยมีเสน่ห์ที่จะสามารถดึงดูดการลงทุน (FDI) ลดลง ทำให้การส่งออกในอนาคตก็จะลดลงไปด้วย เพราะการส่งออกจำนวนมากเกิดจากการลงทุนของบริษัทต่างประเทศ อาทิ ยานยนตร์ อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ต่างกับมาเลเซีย และเวียดนาม ที่สามารถดึงดูดการลงทุนได้เพิ่มขึ้น
“ไม่ประหลาดใจที่รัฐบาลปัจจุบันพยายามดึงดูดการลงทุนด้วยมาตรการต่างๆ ทั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซุปเปอร์คัสเซอร์ และนโยบายต่างๆ ล้วนส่งเสริมการลงทุน ตลอดจนพยายามกำหนดยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมใหม่ที่พยายามผลักดัน ในสภาพการณ์ที่ยากลำบาก”
ดร.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า ในเมื่อมีการคาดการณ์การลงทุนไม่สดใสอย่างที่เคยเป็นมา ไทยจะโตช้ากว่าเพื่อนบ้าน จะไม่เห็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% ง่ายๆ อีกแล้ว เพราะขึ้นอยู่กับการส่งออกและการลงทุน ขณะที่ องค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ก็ระบุว่า อีก 5 ปีข้างหน้า (2559-2563) ประเทศไทยจะโตเฉลี่ย 3.6% ขณะที่เมียนมาร์ 8.3% ลาว 7.3% กัมพูชา 7.3% และเวียดนาม 6% ฉะนั้นไทยไม่ได้เป็นดาวรุ่งในเรื่องอัตราการส่งออกในอาเซียนอีกแล้ว หากยังยึดยุทธศาสตร์แบบเดิมเราจะเติบโตแบบเดิมยิ่งยากขึ้น
“ไทยเคยเป็นชาติที่เก่งการผลิต ติด 1 ใน 5 ประเทศที่เป็นโรงงานของโลก (สัดส่วนอุตสาหกรรมใน GDP สูงสุด) เราเก่งในการรับจ้างผลิต ซึ่งเหนื่อยมาก ยอดการสั่งซื้อไม่แน่นอน บริหารจัดการยาก กำไรน้อย” ประธาน ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ดังนั้นประเทศไทยต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ เพื่อรับสถานการณ์ใหม่ยกขีดความสามารถสู่ยุทธศาสตร์ชาติการค้า ให้ใช้การค้าต่างประเทศขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ รวมถึงต่อยอดเก่งผลิต ออกแบบ วิจัย บริหารการผลิต ต่อยอดเก่งค้า ด้วยการเข้าใจลูกค้า มีแบรนด์ตัวเอง และจัดจำหน่ายเอง ปัจจุบันมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ บาซินี่ เอนเตอร์ไพรส์ ผลิตรองเท้าผู้ชายทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน และแพรนด้า จิวเวลรี่ ผลิตเครื่องประดับในไทยและประเทศเพื่อนบ้านเน้นตลาดกลาง-บน
สำหรับวิธีคิดของชาติการค้า ดร.สมเกียรติ กล่าวด้วยว่า ต้องเปลี่ยนวิธีคิด (mindset) มุ่งสู่การตลาดเฉพาะ มองความต้องการลูกค้าและตลาดเป็นตัวตั้ง วิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม แก้ปัญหาและสร้างคุณค่าแก่ลูกค้า ใช้ช่องทางจำหน่ายตรงกับลูกค้า ทั้งหมดคือเอาการตลาดนำการผลิต