พนง.ไทยพีบีเอส ยื่นจม. จี้ กรรมการนโยบายฯ ทบทวนคุณสมบัติ ผอ. คนใหม่
พนักงานไทยพีบีเอสกว่า 40 คน ยื่นจดหมาย จี้ คณะกรรมการนโยบายฯทบทวนคุณสมบัติ ผอ. ส.ส.ท. เรียกร้องให้มีการชี้แจงการคัดสรรต่อสังคม
เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2559 พนักงานไทยพีบีเอสกว่า 40 คน นำโดยนายโกวิท โพธิสารเข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึงคณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอส เพื่อขอให้ชี้แจงกระบวนการสรรหา ทพ.กฤษดา เรืองอารีรัชต์ ผู้อำนวยการ ส.ส.ท. (ไทยพีบีเอส) คนใหม่ โดยเรียกร้องให้คณะกรรมการสรรหา ทบทวนคุณสมบัติของผู้ได้รับการคัดเลือก ว่าตรงตามที่กฎหมายได้กำหนดหรือไม่ รวมถึงเรียกร้องให้มีการชี้แจงข้อคลางแคลงในกระบวนการสรรหาทั้งหมด ต่อประชาชนและประชาคมไทยพีบีเอส เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ต่อผู้บริหารและผู้กำหนดนโยบายของสื่อสาธารณะแห่งนี้ โดยมีเนื้อหาใจความในจดหมายว่า
การสรรหาผู้เข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส.ส.ท. ซึ่งเป็นสถาบันสื่อสาธารณะแห่งแรกของประเทศไทย ได้รับความสนใจจากสาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อกรรมการสรรหาฯ พิจารณาคัดสรรผู้สมัครที่มีคุณสมบัติและวิสัยทัศน์รวม 5 คน จากผู้สมัครทั้งสิ้น 13 คน เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพิจารณาเมื่อวันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา และในวันที่ 14 มกราคม กรรมการนโยบายมีมติเลือกผู้อำนวยการส.ส.ท.คนใหม่ ดังที่สื่อมวลชนเสนอข่าวไปแล้วนั้น
การสรรหาผู้บริหารไทยพีบีเอสครั้งนี้ ได้รับวิพากษ์วิจารณ์และตั้งข้อสังเกตจากสาธารณะ โดยเฉพาะประเด็นคุณสมบัติของผู้บริหารองค์กรสื่อฯ โดยเปรียบเทียบกับผู้สมัครที่ได้รับการคัดสรร ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้อำนวยการส.ส.ท.ตามมาตรา 32 วงเล็บ 3 ของพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 ที่ระบุว่า“มีความรู้ความเข้าใจและมีความเชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์ในกิจการวิทยุกระจายเสียงกิจการวิทยุโทรทัศน์หรือการสื่อสารมวลชน” ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากคุณสมบัติของผู้ผ่านการคัดสรรของกรรมการสรรหาฯ และได้รับการคัดเลือกจากกรรมการนโยบายฯ ทำให้เกิดความคลางแคลงสงสัยและไม่เข้าใจต่อเจตนารมย์ของคณะกรรมการนโยบาย หรือกระทั่งตั้งคำถามถึงแนวทางขององค์กรสื่อสาธารณะแห่งนี้ได้
ไม่นับความกังวลจากประชาคมไทยพีบีเอส ซึ่งมีเจตจำนงเข้าไปมีส่วนร่วมและสร้างความโปร่งใสในกระบวนการสรรหาฯ ตั้งแต่ต้น เนื่องจากเห็นว่า องค์กรอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านในหลายประเด็น หากจะดำรงความเป็นสื่อสาธารณะในสังคม จักต้องได้รับความยอมรับและเชื่อถือจากสังคมโดยเฉพาะในประเด็นความโปร่งใส ปราศจากคำถามในเรื่องการบริหารจัดการ ซึ่งความกังวลดังกล่าวยังปรากฏอยู่แม้ว่า กระบวนการสรรหาจะผ่านพ้นและได้ผู้เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ดีอาจกล่าวได้ว่า ทัศนะสาธารณะเหล่านั้นถือเป็นความห่วงใยต่อสถาบันสื่อสาธารณะอย่างบริสุทธิ์ใจ โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่สังคมไทยต้องการสื่อสาธารณะที่ยืนหยัดอยู่บนความเป็นธรรม มีความเที่ยงตรง โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ คาดหวังให้ไทยพีบีเอสทำหน้าที่ร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ขับเคลื่อนสังคมไปสู่เส้นทางประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงถือเป็นเพื่อนสื่อสาธารณะที่ต้องให้ความสำคัญและรับฟังอย่างมีนัยสำคัญ
ประการสำคัญ ผู้อำนวยการส.ส.ท. ในฐานะผู้กำหนดทิศทางย่อมถูกคาดหวังจากสังคมและประชาคมไทยพีบีเอสเองว่า จะสามารถนำพาสถาบันสื่อสาธารณะของประเทศไปในทิศทางที่ถูกต้อง ก่อเกิดประโยชน์ต่อสาธารณะตามเจตจำนงก่อตั้ง เป็นสื่อเพื่อสาธารณะที่สร้างสังคมเป็นธรรม ดังนั้นการขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กรสื่อสาธารณะ จำเป็นต้องกระทำอย่างโปร่งใส ได้รับการยอมรับจากภาคส่วนของสังคม ผู้อำนวยการส.ส.ท.จึงถือเป็นบุคคลสาธารณะที่วิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างมีเหตุมีผล
ด้วยสถานการณ์และเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงไม่เห็นทางออกใดที่ดีไปกว่า ผู้มีส่วนรับผิดชอบเปิดใจรับฟังและชี้แจงข้อคลางแคลงในประเด็นดังกล่าวข้างต้นต่อสาธารณะและประชาคมไทยพีบีเอส เพื่อการเริ่มต้นศักราชใหม่อย่างมีทิศทาง ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริหารและผู้กำหนดนโยบายของสื่อสาธารณะแห่งนี้.
ล่าสุด ภายหลังจากเข้ายื่นจดหมายต่อ รักษาการ ผอ. โดยรับปากจะประสานต่อถึงกรรมการนโยบายฯ ต่อไป หลังจากนั้นมีการประชุมกันของผู้บริหารและ ผอ.สำนักต่อ