‘วีระวุฒิ’เผ่นกัมพูชา! อสส.ฟ้องเพิ่ม 7 เอกชนพันคดีข้าวจีทูจีชุด‘บุญทรง’
อสส. ฟ้องเพิ่ม 7 เอกชนไทยพันคดีระบายข้าวจีทูจีชุด ‘บุญทรง’ หลัง ป.ป.ช. ชี้มูลผิด 14 ราย แต่ยังตามตัวเอกชนจีนมาฟ้องไม่ได้ เหตุเขียนสำนวนไม่สมบูรณ์ ด้าน ‘วีระวุฒิ’ อดีตเลขาฯ รมว.พาณิชย์ เผ่นหนีไปกัมพูชาแล้ว อยู่ระหว่างประสานตามตัวกลับ
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2558 สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ได้ยื่นฟ้องบุคคล และเอกชนจำนวน 7 ราย ฐานเป็นผู้สนับสนุน ในการรับซื้อข้าวจากโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยมิชอบ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สือเนื่องจากกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กับพวกรวม 21 ราย ในโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยมิชอบไปก่อนหน้านี้
นายกิตตินันท์ ธัชประมุข รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน กล่าวถึงกรณีนี้ว่า อสส. ได้ยื่นฟ้องเอกชน และบุคคล 7 ราย ฐานเป็นผู้สนับสนุนการรับซื้อข้าวจากโครงการระบายข้าวจีทูจีโดยมิชอบ ซึ่งสืบเนื่องกับคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคดีของนายบุญทรง กับพวกรวม 21 รายก่อนหน้านี้ เห็นได้ว่า อสส. ฟ้องคดีครบวงจรการทุจริต และก่อให้เกิดความเสียหายกับรัฐตั้งแต่ต้น ซึ่งคดีที่ฟ้องวันนี้พบว่า เอกชนและบุคคลดังกล่าว จ่ายแคชเชียร์เช็คซื้อข้าวในโครงการระบายข้าวจีทูจี ทั้งที่ความจริงโครงการนี้ต้องเป็นการขายกับเอกชนจากประเทศจีน จึงถือว่าเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าวด้วย ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง เพื่อต้องการให้ผู้พิพากษาและประชาชนทั่วไปทราบว่า วงจรนี้เริ่มต้นอย่างไร เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนรู้เห็น และมีผู้สนับสนุนรับซื้อข้าว มีการเอาข้าวมาหมุนเวียนในตลาด คดีนี้ศาลฎีกาฯจะพิจารณารับฟ้องหรือไม่รับฟ้องในวันที่ 25 ก.พ. 2558 หากศาลฎีกาฯรับฟ้อง ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะประชุมแต่งตั้งองค์คณะผู้พิพากษา และเลือกผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน
นายกิตตินันท์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดในกรณีนี้จำนวน 14 ราย และส่งสำนวนมาให้ อสส. เมื่อปลายเดือน ก.ย. 2558 อย่างไรก็ดีเมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2558 อสส. แต่งตั้งมอบหมายคณะทำงานเพื่อพิจารณากรณีนี้ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2558 คณะทำงานได้แจ้งข้อไม่สมบูรณ์ในคดีไปยังประธาน ป.ป.ช. (ขณะนั้นคือนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ) หลังจากนั้นมีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง อสส. กับ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาหาข้อไม่สมบูรณ์ ในประเด็นที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนิติบุคคล และบุคคลสัญชาติจีนรวม 7 ราย ซึ่งทั้งหมดอยู่นอกราชอาณาจักร แต่การชี้มูลดังกล่าว ดำเนินการยังไม่สมบูรณ์ เนื่องจากการชี้มูลความผิดในต่างประเทศต้องเขียนสำนวนเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาของประเทศนั้น ๆ แต่ ป.ป.ช. ทำสำนวนเป็นภาษาไทยกับอังกฤษอย่างเดียว ทางการจีนได้ตอบกลับมาว่าขอให้ทำเป็นภาษาจีนด้วย พร้อมกับโต้แย้งเรื่องอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ว่ามีแค่ไหน ดังนั้น อสส. จึงดำเนินการยื่นฟ้องเอกชนกับบุคคลของไทยจำนวน 7 รายดังกล่าวก่อน ส่วนนิติบุคคลจากจีนอยู่ระหว่าง ป.ป.ช. ดำเนินการเขียนสำนวนชี้แจงทางการจีนต่อไป
เมื่อถามว่า คดีนี้จะยื่นให้ศาลพิจารณารวมกับคดีของนายบุญทรงหรือไม่ เนื่องจากพยานหลักฐานเกี่ยวเนื่องกัน นายกิตตินันท์ กล่าวว่า ได้ยื่นคำร้องรวมไปแล้ว แต่อยู่ที่ศาลว่าจะรวมไว้ในสำนวนคดีเดียวกันหรือไม่ อย่างไรก็ดีจะสืบให้ศาลเห็นว่า คดีนี้มีการทุจริตตั้งแต่ต้นอย่างไร มีการรับเงิน เอาข้าวไปหมุนเวียนในประเทศอย่างไร ทั้งนี้หากศาลให้รวมคดีอาจจะล่าช้าเล็กน้อย ไม่ส่งผลกระทบมาก แต่หากศาลไม่ให้รวม เนื่องจากมีการไต่สวนไปก่อนแล้ว ก็จะสืบคดีนี้แยกออกไป เพราะเอกสารได้จัดไว้คนละชุดกัน
เมื่อถามว่า หากนำนิติบุคคลและบุคคลจากจีนมาดำเนินการไม่ได้ จะส่งผลกระทบหรือไม่ และทางการจีนมีการดำเนินคดีหรือไม่ นายกิตตินันท์ กล่าวว่า ไม่ส่งผลกระทบ การกระทำของแต่ละคนก็แยกกันไป และขณะนี้ยังไม่ได้รับข่าวว่าทางการจีนดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าว โดยอยู่ระหว่าง ป.ป.ช. ดำเนินการ ซึ่งไม่มีกำหนดเวลา จนกว่าคดีจะหมดอายุความ สำหรับคดีนี้มีโทษจำคุก 5-20 ปีหรือตลอดชีวิต อายุความจึงมี 20 ปี แต่ถ้าพ้นขั้นตอนของ ป.ป.ช. แล้ว จะมีเวลาให้อัยการดำเนินการตามกฎหมาย
ส่วนจะมีการเรียกค่าเสียหายในคดีด้วยหรือไม่นั้น นายกิตตินันท์ กล่าวว่า เรื่องความเสียหายกรณีนี้กระทรวงพาณิชย์กำลังพิจารณาอยู่ ส่วนเอกชนกับบุคลที่ฟ้องวันนี้ มีหลักฐานว่า ออกแคชเชียร์เช็คในการซื้อข้าวจากองค์การค้าต่างประเทศ ข้าวที่ซื้อคือข้าวที่องค์การค้าต่างประเทศทำสัญญาขายให้กับบริษัทจีน 2 แห่ง แต่เอาเงินเอกชนกับบุคคลในประเทศไปชำระราคา และเอาข้าวมาเวียนขาย โดยเฉพาะเอกชนที่ถูกฟ้องเป็นเจ้าของโกดังเก็บข้าว น่าจะรู้อยู่แล้วว่า การซื้อขายข้าวในโครงการระบายข้าวจีทูจี ไม่ได้ขายกันในประเทศ การที่ออกแคชเชียร์เช็คไปชำระหนี้ให้องค์การค้าต่างประเทศ ถือว่าสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิดโดยมิชอบ
เมื่อถามว่า นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการนายบุญทรง ที่มีพฤติการณ์หลบหนี และศาลฎีกาฯออกหมายจับ อสส. ได้ตามหาตัวหรือไม่ นายกิตตินันท์ กล่าวว่า เท่าที่ทราบจากการข่าวคือภายหลังที่ศาลฎีกาฯประทับรับฟ้องคดีระบายข้าวจีทูจี นพ.วีระวุฒิ ก็หลบหนีไปทันที ซึ่งขณะนี้คาดว่าอยู่ที่ประเทศกัมพูชา และอยู่ระหว่างประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามตัวกลับมา แต่ข้อมูลส่วนนี้ยังไม่ชัดเจน ต้องรอความชัดเจนมากกว่านี้ก่อน
ส่วนกรณีที่นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ผู้บริหารบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด หนึ่งในจำเลยคดีระบายข้าวจีทูจี ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกอยู่ที่ จ.สมุทรปราการ ในคดียักยอกข้าวของรัฐ และอ้างว่า มาขึ้นศาลฎีกาฯในคดีนี้ไม่ได้ จะส่งผลกระทบต่อรูปคดีหรือไม่ นายกิตตินันท์ กล่าวว่า ไม่ส่งผลกระทบ และศาลฎีกาฯสามารถเรียกตัวมาได้อยู่ตลอด เพราะปัจจุบันถูกจำคุกที่ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นหน่วยงานของกรมราชทัณฑ์ หากศาลฎีกาฯนัดสืบพยานไต่สวน ก็ออกหมายเรียกนายอภิชาติมาได้ทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกชนและบุคคลทั้ง 7 ราย ที่ถูก อสส. ยื่นฟ้อง ได้แก่ 1.ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงสีกิจทวียโสธร 2.นายทวี อาจสมรรถ หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงสีกิจทวียโสธร 3.บริษัทกิจทวียโสธรไรซ์ จำกัด และนายทวี อาจสมรรถ กรรมการบริษัทกิจทวียโสธรไรซ์ จำกัด 4.บริษัทเค.เอ็ม.ซี.อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด 5.นายปกรณ์ ลีศิริกุล กรรมการบริษัทเค.เอ็ม.ซี. อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด 6.บริษัท เจียเม้ง จำกัด 7.นางประพิศ มานะธัญญา กรรมการบริษัทเจียเม้ง จำกัด
อ่านประกอบ :
ป.ป.ช.ฟันลอตสอง!15 เอกชนพันคดีข้าวจีทูจี-บ.เจียเม้งตัวละครข้าวถุงโดนด้วย
‘ปู-บุญทรง’ขึ้นศาลฎีกาฯสู้คดีข้าวทั้งปี-คดีสลาย พธม.‘สมชาย’ยาวถึงปี 60