3 วาทกรรมดิสเครดิต สสส.-เครือข่ายประชาชน
"สำหรับผม ไม่เคยพิจารณาโครงการที่ตนเองเป็นกรรมมูลนิธิและตั้งแต่เป็นบอร์ดสสส. ก็ไม่เคยมีการเสนอและอนุมัติโครงการจากองค์กรที่เป็นกรรมการอยู่ ข้อมูลที่สตง./คตร. เผยแพร่ล้วนแต่เป็นเรื่องเก่าก่อนทั้งสิ้น"
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หนึ่งในกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ชี้แจงกรณีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้พ้นจากการเป็นกรรมการและการดำรงตำแหน่งในกองทุนดังกล่าว
นพ.ยงยุทธ ระบุถึงความเป็นห่วงสสส. เพราะเป็นองค์กรที่สนับสนุนภาคี ทำเรื่องดีๆ มากมายกำลังถูกทดสอบอย่างหนัก แค่ในกระทรวงสาธารณสุขก็ช่วยให้เกิดโครงการที่มีข้อจำกัดจากงบประมาณปกติ เช่น เครื่องมือประเมินเด็กปฐมวัย การพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก จังหวัดแก้ปัญหาตั้งครรภ์วัยรุ่น DHS ต้นแบบ โรงเรียนสุขภาวะ ระบบการให้คำปรึกษาในศาล การดูแลเด็กในกระบวนการยุติธรรม รูปแบบการรักษาสุรายาเสพติด การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย สติในองค์กร ฯลฯ
แต่ปัจจุบันโครงการส่วนใหญ่กลับหยุดชะงัก เพราะใช้เหตุผลในการตรวจสอบสสส. มาหยุดการจ่ายเงินงวดให้กับโครงการที่มากกว่า 5 ล้านบาททั้งหมด (มากกว่า 500 โครงการ จากกว่า 500 องค์กร) โดยต้องไปผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ซึ่งมีขั้นตอนมากมายและล่าช้า จนผ่านมาสามเดือน เพิ่งมีโครงการได้รับอนุมัติโครงการแค่ 5 โครงการ คิดเป็น 1% เท่านั้น
ปีใหม่นี้เราจึงแทบไม่เห็นงานของสสส.ปรากฏในสื่อเลย เช่นเดียวกับงานอีกมากมายที่ต้องหยุดไป
"ผมอยากขอให้ทุกคนช่วยทำความเข้าใจกับสังคม โดยเฉพาะกับสามวาทกรรมที่สสส.ถูกยัดเยียดให้เกิดความเข้าใจผิด โดยไม่ตรงกับข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง"
1. วาทกรรม "ให้ทุนพวกเดียวกัน"
ที่จริงแล้วสสส.ให้ทุนมาแล้วมากว่า 10,000 องค์กร ขณะนี้มีโครงการที่อยู่ในความสนับสนุนมากกว่า 2,000 โครงการจากกว่า 2,000 องค์กร ทั้งรัฐ เอกชน NGO ท้องถิ่น ประชาสังคม โรงเรียน โรงพยาบาล เครือข่ายของสภาอุตสาหกรรมและสภาหอการค้า ฯลฯ
2. วาทกรรม "ชงเองกินเอง"
ความจริงสสส.มีระบบป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนที่เข้มงวดและตรงตามมาตราฐานสากล คือในงานวิชาการและงานสาธารณประโยชน์ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรที่เสนอ จะไม่สามารถพิจารณาโครงการได้ และเมื่อรัฐบาลชุดนี้ขอให้เข้มงวดขึ้นอีก โดยที่กรรมการจะต้องลาออกจากองค์กรที่ตนอยู่ ทางสสส.ก็ยินดี
"สำหรับผมเองไม่เคยพิจารณาโครงการที่ตนเองเป็นกรรมมูลนิธิและตั้งแต่เป็นบอร์ดสสส. ก็ไม่เคยมีการเสนอและอนุมัติโครงการจากองค์กรที่ตนเป็นกรรมการอยู่ ข้อมูลที่สตง./คตร. เผยแพร่ล้วนแต่เป็นเรื่องเก่าก่อนทั้งสิ้น"
3. วาทกรรม "ท่อน้ำเลี้ยง"
นับว่าแย่ที่สุด เพราะเป็นการกล่าวหาคนในองคฺ์กรมากกว่า 10,000 แห่งที่เคยรับทุนสสส. ทั้ง ๆ ที่องค์กรเหล่านี้มุ่งมั่นทำงานเพื่อสังคม ไม่ว่าจะได้รับทุนจากสสส.หรือไม่ ผู้รับทุนเองก็ไม่สามารถนำเงินไปทำกิจกรรมอื่น นอกโครงการได้ เพราะมีการตรวจสอบก่อนจ่ายเงินในแต่ละงวด
"การที่รัฐสงสัยว่า บางองค์กรมีการเคลื่อนไหว วิพากษ์วิจารณ์รัฐ ก็ไม่ได้มาจากเงินทุนของสสส. แต่เพราะองค์กรมีงานหลายด้านของตนเอง"
ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าสสส.จะมิมีจุดบกพร่อง สสส.ยังต้องพัฒนาอีกมาก เช่น การเข้าถึงให้ง่ายขึ้น การพิจารณาโครงการแบบกัลยาณมิตร การบูรณาการให้เกิดผลยิ่งขึ้น ฯลฯ แต่ไม่ใช่การเข้าใจผิด โดยไม่ให้โอกาสได้มีกระบวนการที่มีความยุติธรรมมารับฟังและตัดสิน