คำบอกเล่าสุดท้ายของ "อับดุลลายิบ" ก่อนเสียชีวิตในค่ายทหาร
ผ่านมาหลายวันแล้วที่ อับดุลลายิบ ดอเลาะ วัย 41 ปี ผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคง เสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ ในห้องควบคุมของหน่วยข่าวกรองทางทหาร ส่วนหน้า ภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
แต่บรรยากาศที่บ้านเลขที่ 85/1 หมู่ 1 ต.คอลอตันหยง อ.หนองจิก ซึ่งเป็นบ้านของอับดุลลายิบ ยังคงมีญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน รวมทั้งผู้แทนส่วนราชการต่างๆ เข้าเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ
กูรอสเมาะ ตูแวบือซา ภรรยาวัย 34 ปีของอับดุลลายิบ ซึ่งวันนี้ต้องกลายเป็นหม้าย เล่าว่า ได้นำศพสามีมาทำพิธีตามหลักศาสนาในคืนวันเดียวกับที่เสียชีวิต ที่กุโบร์ (สุสาน) โคกหญ้าคา หมู่ 1 ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของสามี หลังจากอาบน้ำศพและละหมาดเสร็จเรียบร้อย ก็นำร่างไปฝังที่นั่น
"ตอนนี้ก็เหลือแต่คนที่ยังอยู่ เรามีลูกชาย 3 คน...ลุกมาน อายุ 16 ปี บุรฮาน อายุ 12 ปี และอัสรี อายุ 6 ปี นอกจากนั้นยังมีหลานที่เป็นกำพร้า เราเอามาเลี้ยง รวมทั้งหมด 4 คน พวกเขากำลังเรียน และรู้สึกไม่ดีที่มีการกล่าวหาว่าพ่อเขาเป็นคนร้าย พวกเขาและก๊ะ (สรรพนามแทนตัวเองของผู้หญิงมุสลิม) ไม่เชื่อว่าสามีจะเป็นอย่างที่ ถูกกล่าวหา อยากขอความเป็นธรรมด้วย ไม่อยากให้เขาตายเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไม่ดีแล้วถูกทำให้ตาย" กูรอสเมาะ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
เธอยังบอกด้วยว่า ไม่เชื่อว่าสามีเสียชีวิตแบบปกติ
"มั่นใจว่าเขาไม่ได้ตายปกติ มีคนทำให้เขาตาย สิ่งที่มั่นใจ คือ 1.ท่านอนตาย ไม่ใช่ท่าที่เป็นธรรมชาติเลย เขาไม่ได้ตายตอนเช้าแน่ ศพแข็งแล้วตอนที่ไปจับ มือข้างหนึ่งงอเหมือนงู ข้างหนึ่งวางลง เหมือนมีคนจัดวางเขาลงบนเตียง"
"2.หลังจากนำศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาล ม.อ. (โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา) หมอถามว่าจะชันสูตรอะไรบ้าง ก็บอกว่าทำหมดเลย ยกเว้นการผ่า เพราะคิดว่าถ้าผ่าต้องใช้เวลา เราต้องพาเขากลับมาทำพิธี หมอก็เริ่มทำการสแกน และหมอออกมาบอกว่า เบื้องต้นพบรอยช้ำที่ข้อมือด้านขวา ไม่แน่ใจว่าเป็นแผลเก่าหรือใหม่ หมอยังตอบไม่ได้ ต้องเอาเนื้อเยื่อไปตรวจ เสร็จแล้วหมอออกมาบอกอีกทีหนึ่งว่า ที่เนื้อเยื่อพบว่ามีรอยเลือด และมีน้ำออกมาบริเวณอวัยวะ ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าเขาถูกทำให้ตาย ขอความเป็นธรรมให้เราด้วย"
กูรอสเมาะ เล่าว่า ไม่เพียงแต่สามีของเธอที่ถูกจับ แต่ตัวเธอเองก็ยังเคยถูกจับกุมมาแล้วเพราะความเข้าใจผิด ฉะนั้นกรณีที่เกิดกับสามี เธอจึงเชื่อว่าสามีไม่ได้ทำผิดจริงๆ
"ก๊ะเองก็เคยถูกเจ้าหน้าที่จับไปที่นั่นเหมือนกัน (หมายถึงที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร) เมื่อปี 2556 เขาบอกว่าโทรศัพท์ของก๊ะมีการติดต่อกับคนร้ายที่ก่อเหตุ ก๊ะบอกว่าก๊ะไม่รู้ เพราะลูกเพิ่งซื้อโทรศัพท์มาจากวัญรุ่นในหมู่บ้าน เขาก็ปล่อยตัวก๊ะกลับบ้าน ต่อมาก็มาค้นอีก 2 ครั้งเมื่อปี 2557 เขาบอกว่าบ้านหลังนี้มีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จากการตรวจค้นบ้านทั้ง 2 ครั้งก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง"
"ครั้งสุดท้ายที่เข้ามาค้น ก็คือตอนเที่ยงคืนครึ่งของวันที่ 11 พฤศจิกายน พอตี 3 เขาก็เอาสามีไป บอกว่ามีคนซัดทอดว่าเป็นผู้ต้องสงสัย หลังจากนั้นก๊ะไปเยี่ยมเขาทุกวัน พอวันที่ 2 และวันที่ 3 ธันวาคม สามีบอกว่าเหนื่อย ไม่ไหว กลัวมากเลย ก็รู้สึกตกใจ พยายามเอามือจะเปิดเสื้อ แต่สามีปัดมือ"
"วันสุดท้ายที่เจอ เรายังคุยกันปกติเรื่องลูก เรื่องเรียน เรื่องความเป็นอยู่ ตอนที่เขาอยู่ข้างใน และเราก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้คุยกัน"
กูรอสเมาะ บอกอีกว่า สามีเล่าให้ฟังก่อนเสียชีวิตว่า เจ้าหน้าที่เอาเอกสารอะไรไม่รู้เยอะมากมาให้เซ็นชื่อ แต่สามีไม่เซ็นเลย และยังบอกอีกว่า ปกติทุกวันเจ้าหน้าที่ชอบเรียกมาสอบถามตอนดึกๆ ตี 1 ถึงเช้าบ้าง บางวันก็เริ่มเทียงคืนถึง 10 โมงเช้าของอีกวันก็ยังไม่เสร็จ สามีบอกว่าคนที่อยู่ข้างในไม่ได้นอน ต้องมาพูด มาตอบคำถาม ทุกคนถูกทำแบบนั้นหมด
"ก๊ะฟังดูเหมือนเจ้าหน้าที่พยายามใช้ความมึนๆ ของการไม่ได้นอน เพื่อให้ตอบคำถาม ก๊ะว่าเขาทำไม่ถูก อยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญเรื่องนี้ด้วยโดยเฉพาะสภาพความเป็นอยู่ของคนที่ยังอยู่ข้างใน (หมายถึงในสถานที่ควบคุมตัว)"
กูรอสเมาะ ซึ่งกลายเป็นหญิงหม้ายอย่างไม่ทันตั้งตัว เล่าให้ฟังถึงการใช้ชีวิตที่เหลือในแบบที่ไม่มีสามีอยูด้วยอีกแล้ว ว่า ชีวิตต่อไปต้องอยู่ให้ได้ ทำงานขายของเลี้ยงลูกทั้ง 4 คนให้ได้ตามที่สามีตั้งความหวังไว้ คือ สอนให้ลูกเป็นเด็กดี มีเมตตา สามีบอกว่าลูกจะอยู่ในสังคมได้ถ้าเขาเป็นแบบนี้ สิ่งที่ต้องการตอนนี้คืออยากขอให้ทุกฝ่ายให้ความเป็นธรรมกับเรา อยากขอให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเป็นกรรมการที่ไว้ใจได้
ด.ช.บุรฮาน ดอเลาะ ลูกชายคนที่สองของ กูรอสเมาะ กับอับดุลลายิบ บอกว่า ตอนนี้อ่านอัลกุรอานขอพรให้บาบอ (พ่อ) ทุกวัน รักบาบอที่สุด จะเป็นเด็กดี จะเรียนหนังสือ ไม่ซน ตามที่บาบอสอน อยากขอความเป็นธรรมให้กับบาบอด้วย
ญาติผู้ใกล้ชิดกับครอบครัวของอับดุลลายิบ บอกว่า วันที่นำศพไปโรงพยาบาล ม.อ. ไม่มีองค์กรไหนหรือหน่วยงานไหนติดตามไปเลย มีเพียงญาติและคนในครอบครัวเท่านั้น อยากเรียกร้องขอให้ทุกฝ่ายให้ความเป็นธรรมกับพวกเราด้วย เพราะทางครอบครัวรู้สึกผิดสังเกตมาโดยตลอดทุกครั้งที่ไปเยี่ยม จึงไปร้องคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้ตรวจสอบก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ทัน
ด้านแหล่งข่าวซึ่งเป็นคนทำงานในพื้นที่ แต่ไม่ขอเอ่ยนาม กล่าวว่า ความรู้สึกของคนทำงานในพื้นที่เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะทำงานให้รัฐหรือไม่ได้ทำงานให้รัฐ คือ 1. ถ้าอับดุลลายิบตายแบบปกติ ไม่ได้ถูกทำให้ตาย คำแรกที่ทุกคนควรได้ยิน คือ การขอโทษ เพราะอับดุลลายิบตายขณะถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ ซึ่งการขอโทษ ไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่ทำให้ตาย แต่เป็นการขอโทษผ่านสื่อเพื่อแสดงความรับผิดชอบในเบื้องต้น
และ 2.ถ้าอับดุลลายิบถูกทำให้ตาย ก็ให้ยอมรับความจริง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 กูรอสเมาะ ตูแวบือซา ภรรยาของอับดุลลายิบ
2-3 บรรยากาศที่บ้านของอับดุลลายิบ มีคนไปให้กำลังใจไม่ขาดสาย