วินัย ดะห์ลัน : พลาดพลั้งให้นักเรียนมุสลิมกินหมู อย่าถึงขนาดลงโทษรุนแรง
กรณีครูของโรงเรียนชุมชนวัดอัมพวนาราม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พาเด็กนักเรียนไปทัศนศึกษา แล้วเกิดเรื่องเกิดราวสั่งซื้อข้าวกล่องที่มีเนื้อหมูปนเป็นอาหารให้นักเรียนมุสลิม กำลังเป็นประเด็นร้อนที่ชายแดนใต้ สุ่มเสี่ยงขยายรอยร้าวระหว่างคนพุทธกับมุสลิมในพื้นที่
มีความเห็นเชิงให้สติจาก รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้งศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ที่เขียนในเฟซบุ๊คส่วนตัวเกี่ยวกับสถานการณ์นี้
"มีข่าวไม่น่ายินดีนักจากโรงเรียนในสามจังหวัดภาคใต้ ครูพุทธสองคนจากโรงเรียนวัดถูกย้ายออกนอกพื้นที่ด่วน ผู้อำนวยการโรงเรียนถูกเปลี่ยนตัวจากพุทธเป็นมุสลิม ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความผิดพลาดของครูสองคนที่ปล่อยให้จัดอาหารหะรอมที่เป็นหมูให้กับนักเรียนมุสลิม ผู้อำนวยการเองต้องรับผิดชอบไปพร้อมๆ กัน
เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องหากทางโรงเรียนมีความเข้าใจชัดเจนว่านักเรียนต้องบริโภคอาหารฮาลาล และอาหารฮาลาลนั้นใครๆ ก็รับประทานได้ แต่เท่าที่เคยลงพื้นที่สามจังหวัดมานานหลายปี บางพื้นที่ยังเข้าใจว่าอาหารฮาลาลคืออาหารมุสลิม เป็นประเภทแกงแขก ซึ่งคนที่มิใช่มุสลิมไม่สะดวกใจที่จะรับประทาน
ข้อเท็จจริงคืออาหารฮาลาลเป็นอะไรก็ได้ จะเป็นแกงไทย ก๋วยเตี๋ยวจีนได้ทั้งนั้น ขออย่าให้มีสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม หรือหะรอม ปนเข้าไปเท่านั้น สิ่งหะรอมตัวสำคัญคือหมูนั่นแหละ
หลายพื้นที่หรือแม้กระทั่งโรงพยาบาลที่เคยไม่เข้าใจเรื่องอาหารฮาลาล เมื่อเข้าใจแล้วการบริหารจัดการเรื่องอาหารก็ง่ายขึ้น จัดเป็นอาหารกลางๆ เป็นแกงไทย แกงมลายู ไม่มีปัญหา จัดเป็นปลาเป็นไก่ คนไทยเชื้อสายจีน คนไทยเชื้อสายมลายู รับประทานร่วมกันได้ หากเข้าใจได้อย่างนี้ ปัญหาที่ต้องเตรียมอาหารมุสลิมไว้ทางหนึ่ง พุทธไว้อีกทางหนึ่ง ทำให้บางครั้งเกิดความสับสนปะปนกันก็คงไม่เกิดขึ้น
ปัญหาเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องแก้ไข มีอารมณ์เกิดขึ้นบ้างก็ขออภัยกันไป แต่อย่าถึงขนาดต้องปลดต้องย้ายครู ย้ายผู้อำนวยการที่มิใช่มุสลิมออกนอกพื้นที่เลย มันออกจะรุนแรงไปหน่อย เชื่อว่าพี่น้องมุสลิมไม่ได้ต้องการอะไรเกินเลยถึงขนาดนั้น
นบีมูฮำมัด (ซ.ล.) กล่าวว่า อย่าเกลียดชังศัตรูจนกระทั่งละเลยไม่ให้ความเป็นธรรม นั่นขนาดศัตรูยังต้องให้ความเป็นธรรม กรณีของครูในโรงเรียนนอกจากจะไม่ใช่ศัตรูแล้วยังเป็นเพื่อน ยังเป็นพี่น้อง ต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมให้มาก สอบสวนแล้วก็จบ อภัยให้กัน ปรับปรุงทัศนคติต่อกัน ไม่นานนักก็กลับมารักกันได้อีก หากต้องปลดต้องย้าย ปัญหาอาจจะเกินเลยจนกระทั่งเยียวยาไม่ได้ ทางฝ่ายผู้บังคับบัญชาคงไม่ต้องการอย่างนั้น
หากเป็นพุทธก็ต้องว่าเรื่องนี้ขอบิณฑบาต ผมเป็นมุสลิมขอบิณฑบาตไม่ได้ ขอเป็นแต่ละฝ่ายมาอัฟ หรืออภัยให้แก่กัน เท่านั้นก็น่าจะพอแล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน (จากแฟ้มภาพอิศรา)