“ชลประทานเพื่อชีวิต” เพื่อรอดวิกฤติน้ำท่วม ให้ภาคเกษตรไทยเป็นครัวไทยครัวโลกยั่งยืน
มหันภัยน้ำท่วมประเทศไทยในครั้งนี้ ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ก้าวต่อไปประเทศไทยต้องเดินหน้าสู่ “ชลประทานเพื่อชีวิต” ปกป้องภาคประชาชนให้รอดพ้นจากวิกฤติน้ำท่วม ปกป้องภาคเกษตรไทยให้เป็นครัวไทย ครัวโลกได้อย่างยั่งยืน
ภาคเกษตร พบว่านาข้าวเสียหายไปแล้วกว่า 13 ล้านไร่ ข้าวเปลือกฤดูการผลิตปี 2554/2555 เสียหายไป 7 - 8 ล้านตัน โอกาสทองของชาวนาไทยต้องหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา เพราะข้าวที่กำลังออกรวงไสวต้องจมอยู่ใต้น้ำในชั่วข้ามคืน ไม่สามารถเก็บเกี่ยวนำมาเข้าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลที่ในปีนี้กำหนด ราคาไว้ถึง 15,000 บาทต่อตันข้าวเปลือก
7 ต.ค.วันดีเดย์ที่รัฐเปิดรับจำนำข้าวจึงเงียบเหงา จนถึงปัจจุบันมีเกษตรกรนำข้าวมาจำนำ เพียง 120,000 ตันเท่านั้น ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ปกติเชื่อว่าเพียงแค่รัฐบาลเปิดโครงการไม่กี่วัน ข้าวก็จะหลั่งไหลเข้ามาเป็นล้านตันแล้ว
ส่วนภาคอุตสาหกรรมก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงจากมหันภัยน้ำท่วมในครั้ง นี้ โรงงาน และนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งจมน้ำ การขนส่งเป็นไปอย่างยากลำบาก เกิดปัญหาการกักตุนสินค้า ข้าวยากหมากแพงเป็นวิกฤติการณ์พ่วงต่อกันอย่างคาดไม่ถึง
สำหรับภาคประชาชน กล่าวได้ว่า มหันภัยน้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ทั้งประชาชนในต่างจังหวัดและเมืองหลวง
วิกฤตน้ำครั้งนี้จึงอาจเป็นบททดสอบของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาการจัดการน้ำที่ไม่สามารถทำเช่นในอดีตได้อีกต่อไปแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ แผนการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม และการวางแผนการชลประทานของชาติอย่างยั่งยืน
ที่ผ่านมาเราเรียกร้องให้มีการพัฒนาระบบชลประทานเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการ เกษตร เพื่อรองรับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศเพื่อเดินหน้าสู่การเป็นครัวของโลก หรือ Kitchen of the World แต่วิกฤติการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ได้ส่งสัญญาณเตือนที่บอกว่าก้าวต่อไปของ ประเทศไทย ชลประทานเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง สำคัญต่อความเป็นอยู่ของทุกชีวิต ต้องทำชลประทานของประเทศให้เป็น “ชลประทานเพื่อชีวิต”
อย่างเช่น ข้าว ในพื้นที่ที่มีชลประทานดีจะสามารถทำนาข้าวได้ปีละ 2.5 - 3 ครั้ง ในหลายประเทศจึงมีกฎหมายบังคับ กำหนดพื้นที่ปลูกข้าวและจัดระบบชลประทานที่ดีเข้าไปในพื้นที่นั้น เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน หรือที่เวียดนามก็เริ่มมีการกำหนดพื้นที่ทำนาข้าวในเขตที่มีชลประทานดี สำหรับประเทศไทยขอปลูกข้าวในเขตชลประทานที่ดีเพียง 2 ครั้ง และมีถั่วเป็นพืชหมุนเวียน 1 ครั้งในรอบปี ก็พอเพียงแล้ว
การวางโครงสร้างระบบชลประทานในวันนี้จะพัฒนาเพื่อรองรับภาคการเกษตรเพียง อย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องเป็นชลประทานเพื่อชีวิต เพราะถ้าเป็นระบบชลประทานเพื่อชีวิตเมื่อไร ยามที่น้ำมาในเวลาที่เราไม่ต้องการ เราต้องสามารถผันน้ำออกไปได้โดยไม่มีใครได้รับความเดือดร้อน และยามที่เราต้องการน้ำ อยากได้น้ำ ต้องสามารถผันน้ำที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งถ้ารัฐบาลทำได้ก็เชื่อว่าจะไม่ส่งผลดีแค่เกษตรกรเท่านั้นแต่จะส่งผลดี ต่อคนไทยทั้งประเทศ และภาคอุตสาหกรรม รวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
แล้วระบบชลประทานเพื่อชีวิตเป็นอย่างไร?
หากศึกษาระบบชลประทานในหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จ พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการจัดการน้ำของระบบชลประทานนั้นมีหลายด้าน มิใช่มีเรื่องเทคนิคเพียงด้านเดียว เพราะนอกเหนือจากเรื่องวิศวกรรมแล้ว จำเป็นจะต้องนำเอาปัจจัยด้านเกษตรกรรม เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และการจัดการมาบูรณาการเข้าด้วยกัน
ดังนั้น การทบทวนเรื่องระบบชลประทานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาตั้งแต่การวาง โครงการชลประทานอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ระบบการหน่วงน้ำ(จัดสรรน้ำให้ทยอยเดินทางสู่อ่าวไทย) ระบบการจัดสรรน้ำ บำรุงรักษา ซึ่งต้องยอมรับว่าในแต่ละพื้นที่จะมีปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จแตกต่างกัน
โดยหลัก ๆ สิ่งที่ต้องพิจารณาการบริหารจัดการน้ำ คือ จะต้องดูถึงแหล่งน้ำต้นทุนว่ามีมากน้อยขนาดไหนและเชื่อถือได้แค่ไหน
จากนั้นก็วางแผนการส่งน้ำที่ดี พัฒนาระบบกระจายน้ำในไร่นา รวมทั้งจัดสร้างอาคารวัดน้ำ ควบคุม และระบายน้ำให้เพียงพอ มีการปรับระดับผิวดินและจัดรูปที่ดิน วางระบบส่งน้ำและระบายน้ำให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมมากพอและเพียงพอที่จะ ส่งน้ำแบบหมุนเวียนที่สอดคล้องกับตามความต้องการน้ำของท้องถิ่น
นอกจากนั้นยังต้องออกแบบระบบชลประทานและระบายน้ำให้เหมาะสมกับขีดความสามารถ ของเจ้าหน้าที่และเกษตรกรที่จะดูแลบำรุงรักษาได้
ในแง่ของการจัดการ ในเรื่องชลประทานหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องมีการจัดองค์กรที่ดี มีเจ้าหน้าที่มีคุณภาพและจำนวนเหมาะสม และที่สำคัญต้องได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณการบริหารโครงการมากพอมี กฎหมายรองรับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับงานจัดสรรน้ำ
ในด้านสังคมและเศรษฐกิจ ก็จะต้องจัดให้มีกลุ่มผู้ใช้น้ำหรือสมาคมผู้ใช้น้ำที่เข้มแข็ง และผู้นำกลุ่มที่เสียสละ ผู้ใช้น้ำมีส่วนร่วมการวางแผนการส่งน้ำ การแบ่งน้ำ และการบำรุงรักษาระบบส่งน้ำ โดยผู้บริหารโครงการชลประทานจะต้องเป็นคีย์แมนหลักในการพัฒนาการใช้น้ำและ การให้ความรู้เกษตรกรในด้านของการใช้น้ำอย่างถูกต้อง เพื่อให้น้ำที่มีอยู่เกิดประโยชน์กับทั้งเกษตรกรและผู้ต้องการใช้น้ำอย่าง แท้จริง
เมื่อทุกฝ่ายมีความร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง “น้ำ” ก็จะไม่เป็นวิกฤตของคนไทยอีกต่อไป
และเมื่อระบบชลประทานดี เกษตรกรก็สามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง ถั่วอีก 1 ครั้ง มีผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น การจะผลิตข้าวให้ได้ 1,200 กิโลกรัมต่อไร่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะระบบชลประทานที่ดีถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการปลูกข้าว นอกเหนือจากสายพันธุ์ ดังจะเห็นจากในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น ไต้หวัน หรือเวียดนามที่มีการออกกฏหมายบังคับ กำหนดพื้นที่ทำนาข้าวในเขตชลประทานที่ดี
ซึ่งต่อไปหากรัฐบาลสามารถพัฒนาระบบชลประทานเพื่อชีวิตได้ จะก่อให้เกิดคุณประโยชน์อนันต์ให้กับประเทศไทย นอกจากคนไทย อุตสาหกรรมในประเทศไทย จะปลอดภัยจากวิกฤตน้ำท่วม สร้างความเชื่อมั่นการลงทุนให้กับต่างชาติแล้ว ประเทศไทยจะสามารถยกระดับเป็นครัวโลกได้ในเวลาอันรวดเร็ว .