ยุคคสช.ทำไมคนดีอยู่ไม่ได้...หรือแก๊งค้ามนุษย์ใหญ่กว่าตำรวจ?
เกือบ 2 สัปดาห์แล้วที่มีข่าวหัวหน้าชุดสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาออกมาเปิดโปงผ่านสื่อว่า ทั้งทีมสอบสวนและพยานถูกข่มขู่คุกคามจากกลุ่มผู้ต้องหาซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพล และบางส่วนเป็น “คนมีสี”
หัวหน้าชุดสอบสวน พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รองผบช.ภาค8 (ขณะทำคดีโรฮิงญา) ถูกย้ายไปเป็นรองผบช.ศชต. หรือศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการย้ายระนาบ ไม่ใช่ขึ้นตำแหน่งที่สูงกว่า หรือย้ายไปตำแหน่งระดับเดียวกันแต่เป็นพื้นที่ที่ดีกว่าเดิม ทำให้เจ้าตัวรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
แต่ความรู้สึกไม่เป็นธรรม ไม่ใช่แค่ไม่ได้รับการปูนบำเหน็จเท่านั้น ทว่าเป็นเพราะความเสี่ยงอันตราย เนื่องจากพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีเครือข่ายของกลุ่มอิทธิพลค้ามนุษย์อยู่เป็นจำนวนมาก ซ้ำยังเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาความไม่สงบเป็นทุนเดิม ทำให้ง่ายต่อการที่จะสร้างสถานการณ์ใดๆ ขึ้นมา
อย่าลืมว่า แก๊งนำพาชาวอุยกูร์ที่ก่อเหตุระเบิดขึ้นที่ราชประสงค์และท่าเรือสาทร ก็ใช้เครือข่ายค้ามนุษย์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในการ “พาหนี” เข้ามาเลเซีย มีกลุ่มค้ามนุษย์หลายคนถูกจับกุมไปสอบปากคำที่เรือนจำพิเศษ มทบ.11
ด้วยเหตุนี้จึงน่าเห็นใจ พล.ต.ต.ปวีณ
เท่าที่ตรวจสอบข้อมูลและประวัติการทำงานก็พบว่า พล.ต.ต.ปวีณ เป็นตำรวจน้ำดีคนหนึ่ง มีฝีมือในการสอบสวนมาก จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าชุดสอบสวนคดีใหญ่อย่างค้ามนุษย์โรฮิงญา ซึ่งถูกเปิดคดีขึ้นเพราะมีการพบสุสานและซากศพชาวโรฮิงญาถูกฝังอยู่เป็นจำนวนมาก บนเทือกเขาแก้ว ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา เมื่อวันที่ 1 พ.ค.58
ผ่านไป 5 เดือน ทีมพนักงานสอบสวนที่นำโดย พล.ต.ต.ปวีณ (มี พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ปลัดสำนักนายกฯ อดีตรองผบ.ตร.บังคับบัญชาอีกชั้น) ก็ออกหมายจับผู้ต้องหาได้ 153 ราย จับกุมได้ 91 ราย สรุปสำนวน 699 แฟ้มส่งให้พนักงานอัยการ สำนวนคดีเยอะถึงขนาดต้องขนทางเครื่องบิน
ผู้ที่ถูกออกหมายจับมีทั้งนักธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่น และนายทหารตั้งแต่ระดับพลโทถึงร้อยเอก แต่ละคนมีชื่อเสียงด้านอิทธิพลและบารมีในภาคใต้แทบทั้งสิ้น
เมื่อนายตำรวจระดับ “พลตำรวจตรี” รับผิดชอบคดีใหญ่ระดับประเทศ ออกมาเปิดโปงผ่านสื่อว่าถูกข่มขู่คุกคาม ถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ใหม่เหมือนถูกส่งไปตาย น่าแปลกใจว่าเรื่องแบบนี้กลับไม่ได้รับความสนใจจากรัฐบาลและ คสช.เลย
ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ก็ชี้แจงแค่ว่าเป็นการโยกย้ายตามปกติ และตำรวจต้องทำงานที่ไหนก็ได้ อยู่ใน ศชต.ก็น่าจะปลอดภัยดี ไม่มีโจรที่ไหนเข้าไปทำร้าย
ฟังคำตอบแล้วเหมือน ถามช้าง ตอบม้า ไปไหนมา สามวาสองศอก
ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมยุค คสช.ที่บอกว่าตนเองเป็นคนดี สุจริต ยุติธรรม เหตุไฉน “คนดี” จึงอยู่ไม่ได้
รัฐบาลกำลังมีนโยบายปราบมาเฟียผู้มีอิทธิพล ก็ตอนนี้ตำรวจใหญ่ระดับหัวหน้าทีมพนักงานสอบสวน ออกมาโวยว่าถูกกลุ่มอิทธิพลค้ามนุษย์เล่นงาน ทำไมรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงถึงยังนิ่งเฉยอยู่ ทำไมไม่ฉวยโอกาสปราบมาเฟียกลุ่มนี้ให้เห็นเป็นขวัญตา เชือดไก่ให้ลิงดูกันไปเสียเลย
ดีไม่ดีจะช่วยเสริมภาพลักษณ์การแก้ปัญหาค้ามนุษย์ของไทยให้ประชาคมโลกและอเมริกาเข้าใจ จะได้ขยับขึ้นจากระดับต่ำสุด หรือเทียร์ 3 กับเขาเสียที
จริงๆ แล้วช่วงที่มีการดำเนินคดีค้ามนุษย์ และผลพวงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ยังมีเงื่อนงำอีกหลายประการที่สาธารณชนอาจจะยังไม่ทราบ เช่น
## การมอบตัวของผู้ต้องหาคนสำคัญบางคน มีการเข้ามอบตัวกับผู้บังคับการตำรวจภูธรบางจังหวัดเพราะสนิทสนมกัน และผู้บังคับการรายนั้นก็พาผู้ต้องหาเข้ามอบตัวกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ๋ในกรุงเทพฯ โดยไม่ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนในพื้นที่...วันนี้นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่รายนี้มีอำนาจวาสนามากขึ้นกว่าเดิม
## ผู้ต้องหาที่เป็น “คนมีสี” บางราย เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ “ทหารใหญ่” ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการเรียกทีมสอบสวนไปชี้แจงเชิงกดดันว่าออกหมายจับ “คนมีสี” รายนั้นได้อย่างไร
## ผู้มีอิทธิพลที่ถูกจับและไม่ได้รับการประกันตัว ส่งข้อความไปยังผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับคนอื่นๆ ในเชิงข่มขู่ว่าไม่ให้เข้ามอบตัว ไม่เช่นนั้นจะเดือดร้อน
## หลังปิดคดีโรฮิงญา มีการปรับย้ายนายตำรวจชั้นนายพล (โผนายพลเล็ก) วาระประจำปี ปรากฏว่าผู้บังคับการตำรวจภูธรหลายจังหวัดที่เป็นเส้นทางเคลื่อนย้ายชาวโรฮิงญา นอกจากจะไม่ถูกเด้งแล้ว ยังได้ดีไปเป็นผู้การจังหวัดเกรดเอทางภาคตะวันออก บางคนขยับเป็นรองผู้บัญชาการในภาคใต้
## รองผู้การที่รับผิดชอบพื้นที่พบสุสานชาวโรฮิงญา ได้ปูนบำเหน็จเป็นผู้การจังหวัดใหญ่ในเขตปริมณฑลรอบกรุงเทพฯ
สรุปว่าแก๊งค้ามนุษย์ใหญ่กว่าตำรวจใช่ไหม หรือคนมีสีคุมเครือข่ายค้ามนุษย์กันแน่?
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : พล.ต.ต.ปวีณ (คนกลาง) ระหว่างแถลงข่าวความคืบหน้าคดีค้ามนุษย์ โดยกล่องด้านหลังคือสำนวนคดีจำนวน 699 แฟ้ม