นักการศึกษา จี้ “วรวัจน์”ตอบสังคม แจกแท็ปเล็ตในวิกฤตอุทกภัยเหมาะหรือไม่

“สมพงษ์” ชี้ รมว.ศึกษาฯ ดื้อเดินหน้าโครงการแจกแท็ปเล็ตในภาวะวิกฤตอุทกภัยไม่เหมาะ แนะนำงบไปช่วยฟื้นฟูโรงเรียนน้ำท่วมดีกว่า ติงวิจัยผลกระทบสายตาเด็กอย่างเดียวจิ๊บจ๊อย ควรตอบสังคมให้ได้ว่าใช้ประโยชน์คุ้มค่ากว่าตำราเรียนสมกับที่จ่ายแพงแค่ไหน

ตามที่นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยืนยันเดินหน้าโครงการ One Tablet PC Per Child  หรือ โครงการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้กับนักเรียน ตามนโยบายรัฐบาล โดยจะทดลองนำร่องใน 4 โรงเรียน 4 ภูมิภาคที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คัดเลือกไว้ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 ก่อนและจะมอบให้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว)ทำการวิจัยหาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับนักเรียน ตามที่ที่หลายฝ่ายมีข้อห่วงใยว่าอาจจะทำให้เด็กสายตาเสีย สูญเสียประสาทสัมผัสนั้น

รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าจากภาวะน้ำท่วมหลายพื้นที่ของประเทศ หากรัฐบาลไม่ควรจะนำงบประมาณมหาศาลไปลงทุนทำในสิ่งที่ไม่เร่งด่วนและสามารถเลื่อนออกไปได้ ควรจะต้องนำงบประมาณไปใช้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก่อน ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อหนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียนที่เสียหายไปจากเหตุการณ์น้ำท่วม

ดร.สมพงษ์ ยังกล่าวว่า อย่างไรก็ตามหากแม้ว่ารัฐบาลยังยืนยันเดินหน้าโครงการแจกแท็ปเล็ตต่อไป ก็ขอให้ใช้ช่วงเวลานี้ทดลองนำร่องระบบและวิจัยอย่างจริง อย่าเพียงแค่วิจัยเพื่อศึกษาว่าการใช้แท็ปเล็ตกระทบต่อสายตาหรือระบบสัมผัสของนักเรียนเพียงอย่างเดียว เพราะผลกระทบเรื่องนี้ย่อมมีแน่นอน แต่การวิจัยจะต้องสะท้อนข้อมูลที่ยืนยันได้ว่าแท็ปเล็ตนั้นมีประโยชน์อย่างไร เปิดโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียนได้กว้างขึ้นขนาดไหน และควรมีวิธีการป้องกันปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้แท็ปเล็ต ที่สำคัญจะต้องอบรมครูผู้สอนให้มีความรู้และมีวิธีการรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย

“สถานการณ์นี้ควรจะนำงบไปใช้ในเรื่องที่จำเป็นมากกว่า และผมไม่เห็นด้วยที่นายวรวัจน์จะใช้แท็บเล็ตแทนหนังสือเรียนเท่านั้น เพราะแท็บเล็ตราคาแพงกว่าหนังสือเรียน หากเราจะต้องเสียงบประมาณจำนวนมากเพื่อโครงการนี้ ก็ควรใช้ให้เกิด ประโยชน์สูงสุด และต้องทำให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาทางเทคโนโลยีในอนาคต” รศ.ดร.สมพงษ์กล่าว .

ที่มาภาพ :  http://www.bangkokbiznews.com/home/news/politics/education/2009/01/15/news_7159.php