"ได้แค่ทำใจ" เสียงจาก อส.ผู้สูญเสียแม่และพ่อจากเหตุร้ายที่หนองจิก
เหตุการณ์สุดสลดเหตุการณ์หนึ่งในห้วงต้นเดือนตุลาคม 2558 ก่อนครบ 12 ปีไฟใต้ คือเหตุการณ์คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธสงครามยิงสองสามีภรรยา นายซุยมี ชูช่วยคำ อายุ 69 ปี และ นางนวลศรี ณ ตะกั่วป่า อายุ 62 ปี ขณะเดินทางด้วยรถกระบะมิร่าคันเล็กๆ มุ่งหน้าไปขายหมูที่ตลาดโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี
ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันที่บ้านฝ่ายหญิงที่ตำบลยาบี อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ทุกเช้าจะขับรถไปตลาดโคกโพธิ์ โดยวันเกิดเหตุเลือกใช้เส้นทางสายบ่อทอง-ยะรัง ไม่มีใครคาดคิดว่าผู้สูงอายุวัยกว่า 60 ปีที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร จะกลายเป็นเหยื่อความรุนแรงได้
ศพของนายซุยมี ตั้งบำเพ็ญกุศลที่อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี ส่วนศพของนางนวลศรี ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดยาบีนิการาม อำเภอหนองจิก
คณะทำงานวาระผู้หญิงชายแดนใต้ ซึ่งประกอบด้วยองค์กรผู้หญิงในพื้นที่ 23 องค์กร ส่งผู้แทนจากเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ เครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมฯ และเครือข่ายสตรีชายแดนใต้ ไปเยี่ยมครอบครัวของผู้เสียชีวิต
กานต์ เกษลึกซึ้ง ลูกชายคนรองของนางนวลศรี เล่าว่า บิดาแท้ๆ ของเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว มีพี่น้องรวม 5 คน มีทั้งที่อยู่ต่างจังหวัดและอยู่ในปัตตานี เขาทำงานเป็น อส. (อาสารักษาดินแดน) ที่อำเภอหนองจิก เนื่องจากลักษณะงานต้องเข้าเวรต่อเนื่องกันตลอดเกือบทั้งสัปดาห์ ทำให้ต้องไปเช่าบ้านอยู่ที่ตำบลตุยง อำเภอหนองจิก เพื่อความสะดวกในการทำงานและส่งลูกเรียนหนังสือในตัวเมืองปัตตานี จะกลับบ้านแม่เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์
ส่วนนายซุยมีเป็นพ่อเลี้ยง เป็นอดีตข้าราชการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ทำหน้าที่ซ่อมทางรถไฟ เกษียณมาเกือบสิบปีแล้ว นายซุยมีอยู่กับแม่ของเขามาเกือบสิบปีเช่นเดียวกัน สุขภาพไม่ค่อยสู้ดี เป็นโรคเส้นเลือดตีบ เดินเหมือนจะล้มตลอด
"แม่กับพ่อจะไปขายหมูที่ตลาดโคกโพธิ์ทุกวัน เว้นวันพระ ออกจากบ้านกันตั้งแต่เช้าด้วยรถกระบะมิร่า ขากลับไม่เป็นเวลาที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าขายได้แค่ไหน เขาจะคิดกันทุกวันว่าจะไปทางไหน กลับทางไหน เพื่อไม่ให้ซ้ำเส้นทางเดิม จะเปลี่ยนเส้นทางตลอด และระมัดระวังกัน เพราะพ่อเคยถูกลอบยิงมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2554 จุดที่ถูกยิงอยู่ห่างจากจุดที่เกิดเหตุครั้งนี้เพียง 200 เมตร และพ่อจะพกปืนเป็นประจำเพื่อป้องกันตัว"
กานต์ เล่าว่า ก่อนวันเกิดเหตุ พ่อเลี้ยงเพิ่งซ่อมรถมิร่าให้ เพื่อแม่จะได้ใช้งานได้สะดวก
"ทั้งแม่และพ่อก็อายุมาก ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ทำแต่งาน ยังมาทำกันอย่างนี้อีก" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงคับข้องใจ
ในฐานะที่เป็น อส. กานต์มีหน้าที่หลักคือดูแลกล้องโทรทัศน์วงจรปิด หรือซีซีทีวี ซึ่งติดตั้งอยู่เติมพื้นที่ วันที่เกิดเหตุร้ายกับคนในครอบครัว เขาได้รับรายงานมาว่ามีคนถูกยิง ขับรถเล็กๆ สีเขียว เขารู้ทันทีว่าเป็นแม่กับพ่อเลี้ยงของเขาเอง
"จุดเกิดเหตุตรงนั้นไม่มีกล้องวงจรปิดพอดี แต่ถึงมีก็ดูไม่ได้ เพราะคนก่อเหตุจะทำลายกล้องเสียก่อน พอได้รับแจ้งเหตุ ผมก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ขี่ไปอีกทางที่ไกลกว่า เพราะใจไม่อยู่กับตัว ไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ก็กั้นพื้นที่แล้ว คนร้ายยิงมาจากด้านหน้ารถ สมองกระจายเต็มหลังคาและเบรคมือ ตรงท้ายรถมีหนังศีรษะกับกะโหลกติดอยู่ ยิงแม่แล้วลากลงมาจากรถ เอากระเป๋าคาดเอวที่มีเงิน โทรศัพท์ กับกุญแจตู้ไปหมด แล้วล้วงเอาเงินในกระเป๋าพ่อกับปืนพกของพ่อไปด้วย"
แม้จะเป็น อส.ซึ่งในสายตาของชาวบ้านทั่วไปถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และมีอำนาจมากกว่าคนเดินถนน แต่ กานต์ ก็บอกอย่างปลงๆ ว่าได้แต่ทำใจ
"ผมทำได้อย่างเดียว คือ ทำใจ เพราะทำอะไรไม่ได้ อย่าให้เกิดกับใครอีกเลย ภาวนาขอให้หมดเรื่องร้ายๆ ใจเสียทุกครั้งเมื่อได้ยินข่าวความสูญเสียทั้งพุทธและมุสลิม"
เมื่อมีพี่น้องมุสลิมและพุทธมาให้กำลังใจ เยี่ยมเยียนกัน กานต์ บอกว่า รู้สึกดีใจมาก และรู้สึกดีที่มีเพื่อนมุสลิมมาให้กำลังใจ มีน้ำใจแก่กันในยามที่มีเหตุร้ายเช่นนี้ อย่าไปมองว่าพุทธหรือมุสลิมที่ทำให้แตกแยก อยู่ที่มุมมองของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ปู่ย่าตายายของเราไม่เคยแบ่งแยกกัน ในชุมชนพุทธและมุสลิมอยู่ด้วยกันอย่างปกติ ไม่เคยทะเลาะกัน ปรึกษาหารือกันมาจนถึงรุ่นลูกหลาน
ญาติคนหนึ่งของกานต์ บอกว่า อยากให้มุสลิมช่วยดูแลชาวพุทธที่อยู่อาศัยในพื้นที่เหมือนเป็นไข่แดง เพราะรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย และคนพุทธไม่เคยคิดทำร้ายใคร
ขณะที่ ลม้าย มานะการ ตัวแทนเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ กล่าวว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอที่ขอความร่วมมือจากพี่น้องมุสลิมที่อยู่รอบด้านให้ช่วยดูแลชาวพุทธในพื้นที่ด้วย
"เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของทุกคนที่ต้องช่วยเหลือกัน ทั้งพุทธและมุสลิม เพียงแต่ในพื้นที่ที่มีชาวพุทธอยู่ตรงกลาง ขอให้พี่น้องมุสลิมช่วยดูแลด้วย คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคนในพื้นที่ไม่ใช่คนก่อเหตุ ส่วนใหญ่มาจากคนภายนอก เกิดจากความอ่อนแอของชุมชนที่ไม่ได้ระวังตัว ซึ่งในความเป็นจริงต้องระวังตัวทุกสถานการณ์ เพราะทุกคนอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งที่ไม่ปกติ ต้องไม่ประมาทและช่วยกันดูแล"
"คิดไม่ออก ไม่รู้จะป้องกันอย่างไร หลังเกิดเหตุทุกครั้งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหมดไปเสียที ไม่แน่ใจว่าคนที่ทำอยู่ฝ่ายขบวนการหรือฝ่ายแทรกแซง ไม่เคยมีใครออกมารับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่สักเหตุการณ์เดียว ทั้งที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเต็มพื้นที่ แต่ในการสืบสวนไม่เคยเจอผู้ก่อเหตุ จับตัวไม่ได้ ทำให้ความรุนแรงเหมือนเป็นเงา เมื่อเป็นเงา ประชาชนก็ขัดแย้งไม่ไว้วางใจกัน" ตัวแทนเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ กล่าว
ในฐานะประชาชนคนธรรมดา ลม้ายเรียกร้องรัฐในการดูแลการสอบสวนให้ได้ความจริง โดยต้องสอบสวนให้เร็วที่สุด หาคนผิดมาลงโทษ ดูแลครอบครัวที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และให้กำลังใจกันและกัน
ขณะที่ คำนึง ชำนาญกิจ ตัวแทนเครือข่ายผู้หญิงเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ ให้กำลังใจกานต์และครอบครัวว่า อย่าท้อถอย อย่างทิ้งถิ่นฐาน ให้ผนึกกำลังช่วยเหลือกัน
อีกด้านหนึ่ง มีรายงานจากฝ่ายความมั่นคงว่า สามารถติดตามหนึ่งในผู้ต้องสงสัยก่อเหตุยิง นายซุยมี กับนางนวลศรี ได้แล้ว โดยจับกุมได้ขณะหลบไปกบดานที่บ้านภรรยาในตำบลท่าสาป จังหวัดยะลา หลังเกิดเหตุประมาณ 5 วัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 กานต์ เกษลึกซึ้ง
2-3 คณะทำงานวาระผู้หญิงชายแดนใต้ ไปเยี่ยมกานต์และครอบครัวหลังเกิดเรื่องร้ายๆ