"พีซีซี"ชนะ"สตช." ศาลฯ พิพากษาจ่ายเงินสร้างโรงพักตร.ยุค"อภิสิทธิ์" 96 ล.
ศาลปค.เชียงใหม่ พิพากษาให้ สตช.จ่ายเงินค่าก่อสร้างโรงพักตร. ยุค "อภิสิทธิ์-สุเทพ" ให้ผู้รับเหมา "พีซีซี" รวมวงเงิน 96 ล้าน ภายใน 60 วัน พร้อมคืนหนังสือค้ำประกันสัญญาจ้างงาน 292 ล้าน
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2558 ที่ผ่านมา สำนักงานศาลปกครอง ได้เผยแพร่ข่าวศาลปกครอง กรณีศาลปกครองเชียงใหม่มีคำพิพากษาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชำระค่าก่อสร้างบางส่วนในคดีก่อสร้างโครงการอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง
ระบุว่า เมื่อวันพุธที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ เวลา ๑๐.๐๐ น. ตุลาการศาลปกครองเชียงใหม่ได้อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ๓๔๑/๒๕๕๘ ระหว่าง บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด ผู้ฟ้องคดี กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดี คดีนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีทำสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดีก่อสร้างโครงการอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน ๓๙๖ หลัง เป็นเงิน ๕,๘๔๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีมีหนังสือ ลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๖ บอกเลิกสัญญา ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาโดยไม่ชอบเพราะผู้ถูกฟ้องคดีเป็นฝ่ายผิดสัญญา เนื่องจากไม่ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างหรือส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างบางแห่งล่าช้า อนุมัติผังบริเวณก่อสร้างและการอนุมัติผลการสำรวจลักษณะทางกายภาพของดินเพื่อใช้กำหนดประเภทของฐานรากอาคารล่าช้า ไม่จ่ายเงินค่าจ้างหรือจ่ายค่าจ้างล่าช้าทำให้ผู้ฟ้องคดีขาดสภาพคล่อง แต่งตั้งผู้ควบคุมงานไม่เพียงพอและไม่เหมาะสม
ทั้งที่ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือแจ้งเหตุและขอสงวนสิทธิขยายระยะเวลาการก่อสร้างหลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการชี้แจง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ชดใช้ค่างวดงานก่อสร้าง ค่าวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง และค่าเสียหายที่เกิดจากความล่าช้า รวมทั้งค่าธรรมเนียมในการยื่นซองประมูลราคาและค่าผลกำไรจากการก่อสร้าง ให้คืนหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาและหนังสือค้ำประกันการชำระเงินล่วงหน้า ให้งดการคิดค่าปรับตามสัญญากับผู้ฟ้องคดี และห้ามขึ้นบัญชีผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ทิ้งงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๐๕๔,๓๘๔,๔๒๔.๑๓ บาท
ศาลปกครองเชียงใหม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) ไปแล้วจำนวน ๓๓๕ หลัง แต่การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาแม้แต่เพียงหลังเดียว และยังเหลือการก่อสร้างที่ยังไม่ดำเนินการอีกจำนวน ๖๑ หลัง คิดเป็นงานก่อสร้างได้เพียงร้อยละ ๑๒ ของงานทั้งหมด จึงมีเหตุ
ให้เชื่อได้ว่าผู้ฟ้องคดีไม่สามารถทำงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีสิทธิตามสัญญา ข้อ ๖ วรรคหนึ่ง ที่จะบอกเลิกสัญญาและจ้างผู้รับจ้างรายใหม่เข้าทำงานแทนผู้ฟ้องคดีได้
ส่วนการที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการก่อสร้างอาคารบางแห่ง หรือส่งมอบพื้นที่ให้ล่าช้า หรือมีเหตุการณ์ประท้วงคัดค้านของประชาชนจนไม่สามารถก่อสร้างได้ หากมีจริงตามที่อ้าง ก็เป็นเพียงเหตุที่ทำให้ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิที่จะขอขยายระยะเวลาก่อสร้างตามสัญญา หรือมีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายหรือค่าสินไหมทดแทนจากผู้ถูกฟ้องคดีเท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อสิทธิในการบอกเลิกสัญญาของผู้ถูกฟ้องคดี เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้ว จึงต้องยอมให้คู่สัญญาอกฝ่ายหนึ่งคือผู้ฟ้องคดีกลับคืนสู่สถานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ โดยต้องชดใช้ค่าการงานในส่วนที่ทำ คือ ค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน ๑๓ หลัง รวม ๑๖ งวด เป็นเงิน ๑๕,๖๘๙,๖๑๗ บาท และค่าการก่อสร้างที่ผู้ฟ้องคดีทำไว้บางส่วน แต่ยังไม่ได้ส่งมอบงาน เป็นเงิน ๘๑,๒๘๐,๘๑๖ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๙๖,๙๗๐,๔๓๓ บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี
สำหรับค่าวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างซึ่งผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้จัดเตรียมไว้ยังสถานที่ก่อสร้างนั้น เมื่อสัญญาไม่ได้กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีรับผิดในค่าวัสดุดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธินำวัสดุกลับคืนไป และผู้ถูกฟ้องคดีก็ไม่ต้องชดใช้ค่าวัสดุที่เหลือนั้น เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องมีการปฏิบัติตามสัญญาต่อไป
ผู้ฟ้องคดีพ้นจากข้อผูกพันตามสัญญา ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องคืนหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่ผู้ฟ้องคดีโดยไม่มีดอกเบี้ย ตามสัญญา ข้อ ๓ วรรคสอง
สำหรับหนังสือค้ำประกัน (การชำระเงินล่วงหน้า) ของธนาคารออมสิน สาขาประตูช้างเผือก จำนวน ๑๗ ฉบับ เป็นเงิน ๘๗๗,๒๐๐,๐๐๐ บาทนั้น เมื่อได้หักเงินค่าจ้างล่วงหน้าไว้บางส่วนแล้ว เงินค่าจ้างล่วงหน้าที่เหลือยังเกินกว่าจำนวนเงินที่ผู้รับจ้างจะได้รับ ผู้ฟ้องคดีจึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดี เมื่อผู้ฟ้องคดียังไม่คืนเงินดังกล่าว
ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีสิทธิยึดหนังสือค้ำประกันของธนาคารออมสินไว้เป็นหลักประกันเพื่อให้ผู้ฟ้องคดีคืนเงินค่าจ้างล่วงหน้าจนครบจำนวน ส่วนค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันนั้น เป็นค่าใช้จ่ายตามปกติในการดำเนินงานที่ผู้ฟ้องคดีต้องจ่าย ไม่ว่าจะมีการบอกเลิกสัญญาหรือไม่ก็ตาม ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิเรียกให้ผู้ถูกฟ้องคดีรับผิดในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ สำหรับค่าปรับนั้น เมื่อผู้ถูกฟ้องคดียังมิได้คิดค่าปรับจากค่าจ้างและยังไม่มีการนำคดีมาฟ้องแย้ง ผู้ฟ้องคดีจึงยังไม่มีสิทธิฟ้องคดีในข้อหานี้ต่อศาลปกครอง
สำหรับคำขอให้ศาลสั่งห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีขึ้นบัญชีผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ทิ้งงานนั้น เห็นว่า คำสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ข้อ ๑ (๔) ออกตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อยังไม่ปรากฏว่ามีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ทิ้งงาน จึงยังไม่มีการกระทำหรือคำสั่งทางปกครองที่ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะมีสิทธิฟ้องคดีในข้อหานี้ต่อศาลปกครอง
สำหรับค่าธรรมเนียมในการยื่นซองประมูลราคาในการเข้าดำเนินการก่อสร้างตามสัญญา ค่าธรรมเนียมออกหนังสือค้ำประกันการก่อสร้างตามสัญญา ค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันชำระเงินล่วงหน้า ค่าธรรมเนียมเปิดใช้วงเงินขายลดงาน เป็นค่าใช้จ่ายของผู้ฟ้องคดีที่เกิดจากการเข้าทำสัญญากับทางราชการอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีการเลิกสัญญานี้หรือไม่ จึงไม่ได้เป็นผลมาจากความล่าช้าของผู้ถูกฟ้องคดีหรือจากการบอกเลิกสัญญาที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะต้องรับผิด
ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารงานโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจนั้น ก็เป็นผลมาจากการก่อสร้างล่าช้าของผู้ฟ้องคดีเอง จนกระทั่งมีการบอกเลิกสัญญา จึงไม่ใช่ความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีจะมีสิทธิเรียกร้อง สำหรับผลกำไรจากการดำเนินการตามสัญญาแล้วเสร็จ เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาทนั้น ก็เป็นเพียงการคาดคะเนที่ไม่อาจคำนวณได้อย่างแน่นอน ประกอบกับกำไรนั้นเป็นค่าตอบแทนที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากการปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วน แต่เมื่อคดีนี้ยังไม่ได้มีการก่อสร้างครบถ้วนตามสัญญาเนื่องจากได้มีการบอกเลิกสัญญาเพราะความผิดของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิได้รับผลกำไรดังกล่าว
ศาลจึงพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีชำระเงินเป็นค่าก่อสร้างอาคารรวมเป็นเงิน ๙๖,๙๗๐,๔๓๓ บาท โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด และคืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามส่วนของการชนะคดี ให้ผู้ถูกฟ้องคดีคืนหนังสือค้ำประกัน ธนาคารออมสิน สาขาประตูช้างเผือก เลขที่
๓๔๐๘ - ๐๐๕/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔ จำนวน ๒๙๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
๓๐ กันยายน ๒๕๕๘
สำนักงานศาลปกครอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) 396 แห่งทั่วประเทศ ปรากฎเป็นข่าวดังขึ้นมา เมื่อมีการตรวจสอบพบว่าการก่อสร้างงานไม่เสร็จตามเวลาและงานอีกหลายแห่งยังไม่ลงมือก่อสร้าง เกิดขึ้นในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในโครงการไทยเข้มแข็ง ตั้งงบประมาณไว้ 6,672 ล้านบาท ปี 2555
โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในยุคที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีดีเอสไอ ได้รับเรื่องเข้ามาตรวจสอบเป็นทางการ พร้อมระบุว่าพบความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินการหลายเรื่อง และมีการสรุปผลการสอบสวนไปให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมีผู้เกี่ยวข้องคือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ มาตรา 13, 11 และ 12 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ปัจจุบัน ป.ป.ช.ได้ตั้งคณะอนุกรรมไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวแล้ว และอยู่ระหว่างการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา