นายกสมาคมทะเลไทย หนุน รธน.ฉบับปฏิรูป ปิดประตูตายบริษัททำอีไอเอ - อีเอชไอเอ
นายกสมาคมทะเลไทย หนุน รธน.ฉบับปฏิรูป ชี้ ก้าวหน้า-อุดช่องโหว่ฉบับปี 50 ปิดประตูตายบริษัททำอีไอเอ - อีเอชไอเอ ผ่านการประเมินเอื้อโครงการ ส่งเสริมประชาชนเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน
นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวถึงบทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับประเด็นการปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่า บทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญ มีทั้งหมด 285 มาตรา มีเรื่องสิทธิพลเมืองกว่า 50 มาตรา และเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกว่า 10 มาตรา ซึ่งถือว่าไม่น้อยและค่อนข้างมีความก้าวหน้า โดยเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชนบางส่วนใกล้เคียงกับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 แต่บางส่วนมีความก้าวหน้ากว่ามาก โดยเฉพาะการประเมินสิ่งแวดล้อมในระดับยุทธศาสตร์ หรือ SEA เพราะที่ผ่านมา จุดอ่อนของการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ EHIA และการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA คือ การให้เจ้าของโครงการเป็นผู้ว่าจ้างบริษัทประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้เจ้าของโครงการกับบริษัทประเมินผลกระทบมีความผูกพันกัน จึงมีน้อยมากที่การประเมินไม่ผ่าน ส่วนใหญ่จะผ่านทั้งหมด
นายบรรจง กล่าวว่า การมอนิเตอร์ หรือ ติดตามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังโครงการผ่านการประเมิน ก็ไม่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง จึงเชื่อว่าบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะสามารถแก้ไขจุดอ่อนตรงนี้ได้ นอกจากนี้ยังเห็นว่าการพัฒนากระบวนการยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม จะทำให้ประชาชนสามารถปกป้องสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น แม้ที่ผ่านมาจะมี พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 แต่ไม่สามารถทำอะไรได้มาก ดังนั้น จะเห็นได้ว่าคดีที่เข้าสู่ศาลแผนกคดีสิ่งแวดล้อมมีน้อยมาก เพราะมีปัญหาในเรื่องของตัวเจ้าทุกข์
“ที่ผ่านมาจะเกิดปัญหาว่า ใครจะสามารถเป็นเจ้าทุกข์ในการฟ้องร้องผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทรัพยากรธรรมชาติได้ แต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้เงื่อนไขตรงนี้เปิด เช่น ชายหาดสมิลา จ.สงขลา ซึ่งถือเป็นชายหาดของทุกคน ดังนั้น คนเชียงใหม่ คนขอนแก่น สามารถใช้ประโยชน์ตรงนี้ได้ และหากมีกระบวนการที่ทำให้ชายหาดตรงนี้เสียหาย ชาวเชียงใหม่ หรือ ขอนแก่นก็สามารถที่จะร่วมฟ้องร้องด้วยได้” นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยกล่าว
ขณะเดียวกันยังเห็นด้วยว่าแม้หลายมาตราจะมีความก้าวหน้า แต่ยังระบุว่าให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งแม้ว่ารัฐธรรมนูญจะประกาศใช้แล้ว แต่กว่าจะมีผลในการปฏิบัติก็ต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง
สำหรับกระแสของประชาชนในพื้นที่ต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้นั้น นายบรรจง กล่าวว่า จากการเปิดเวทีรับฟังความเห็นของประชาชน 10 เวที ใน 12 อำเภอของ จ.สงขลา พบว่ากว่าร้อยละ 90 ของประชาชน ให้ความสำคัญกับเรื่องปากท้อง และการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นหลัก ส่วนเรื่องการเมืองนั้นในระดับพื้นที่มีไม่มาก แตกต่างไปจากในชนชั้นกลางในเมือง ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของประชาธิปไตยมากกว่า
ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์มูลนิธิสืบนาคะเสถียร