โปรดเกล้าฯ 'ดิเรกฤทธิ์' เลขาฯศาลปค. ลาออกราชการ ไปประกอบอาชีพอื่น
โปรดเกล้าฯ "ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม" เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ลาออกราชการตำแหน่ง ไปประกอบอาชีพอื่น -ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งทางการแล้ว มีผลตั้งแต่ 2 ต.ค.58 เป็นต้นไป
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2558 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ข้าราชการฝ่ายศาลปกครองพ้นจากตำแหน่ง
ระบุว่า ด้วยประธานศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งอนุญาตให้ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ลาออกจากราชการ เพื่อไปประกอบอาชีพอื่น ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2558 และให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้า ฯให้พ้นจากตำแหน่งต่อไปแล้ว
บัดนี้ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดกล้า ฯ ให้บุคคลดังกล่าว พ้นจากตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง สำนักงานศาลปกครอง ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2558
ประกาศ ณ วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
(ดูประกาศฉบับเต็มที่นี่ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/E/195/9.PDF F)
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 ก.ค.58 ที่ผ่านมา สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รับการยืนยันว่า นายดิเรกฤทธิ์ ได้เรียกประชุมข้าราชการระดับบริหารสำนักงานศาลปกครอง เพื่อชี้แจงการลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองของตนเอง โดยจะมีผลเป็นทางการในช่วงสิ้นปีงบประมาณนี้ พร้อมให้เหตุผลการลาออกว่า ได้มาดำรงตำแหน่งสูงสุดของข้าราชการฝ่ายประจำถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ถือเป็นโอกาสที่จะได้ทำงานอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์กับสังคม และจะได้เรียนปริญญาเอกให้จบ ยืนยันว่าไม่ได้หนีปัญหา ลาออกล่วงหน้าเพื่อจะได้สะสางงาน และเตรียมมอบงานให้เรียบร้อย
ทั้งนี้ นายดิเรกฤทธิ์ ได้ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีอ้างคำสั่งประธานศาลปกครอง ทำหนังสือไปยังรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจรายหนึ่ง โดยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เห็นว่าการกระทำของเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามจริยธรรมข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง โดยมีมูลอันควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย
ในขณะที่ในการได้เผยแพร่ผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว ของสำนักงานศาลปกครอง มีการระบุว่า คณะกรรมการสอบสอนข้อเท็จจริง เห็นว่า การกระทำของเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามจริยธรรมข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง โดยมีมูลอันควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง และการกระทำดังกล่าวยังไม่อาจรับฟังได้ว่า ได้รับมอบหมายหรือรู้เห็นเป็นใจจากประธานศาลปกครองสูงสุด
และมีการอ้างความเห็นของ นายวิชัย ชื่นชมพูนุท รองประธานศาลปกครองสูงสุด ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานศาลปกครองสูงสุด ระบุว่าได้พิจารณารายงานการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง เห็นควรลงโทษภาคทัณฑ์ แต่เนื่องจากนายดิเรกฤทธิ์ ได้ถูกพักงานแล้วเป็นเวลา 2 เดือน และไม่ปรากฏความเสียหายในรูปธรรมที่สำนักงานศาลปกครอง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้งดโทษภาคทัณฑ์และให้ว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยให้นายดิเรกฤทธิ์ พึงระมัดระวังในการรักษาชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และเกียรติภูมิของสำนักงานศาลปกครอง และศาลปกครอง รวมทั้งรักษาชื่อเสียงของตน และเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย ตลอดจนไม่อาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น โดยปฏิบัติอยู่ในกรอบของจริยธรรม ระเบียบแบบแผนของทางราชการ และวินัยที่กำหนดอย่างเคร่งครัดอยู่เสมอ
จากนั้นสำนักงานศาลปกครอง ได้แถลงข่าวศาลปกครอง เพื่อแก้ไขข้อความแถลงผลการสอบสวนข้อเท็จจริง เป็น “สำนักงานศาลปกครองขอแถลงว่า คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวฯ...ได้ดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่าการกระทำของเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามจริยธรรมข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง โดยมีมูลอันควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย...”
นอกจากนี้ นายดิเรกฤทธิ์ ยังถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีไม่ดำเนินการเปิดประชุม ก.ศป. ตามที่คณะกรรมการ ก.ศป.ได้เข้าชื่อกันเพื่อขอให้เปิดประชุม ก.ศป.เพื่อพิจารณาพักราชการนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุดระหว่างการสอบสวนกรณีจดหมายน้อยฝากตำรวจ ในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2558 แต่นายดิเรกฤทธิ์ ไม่ยอมดำเนินกลับไปหารือนายหัสวุฒิและกำหนดให้ประชุมเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ซึ่ง ก.ศป.ที่ขอให้มีการดำเนินการเห็นว่า การกระทำของนายดิเรกฤทธิ์ไม่เป็นตามตามระเบียบ ก.ศป.และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพราะเมื่อมี ก.ศป.เข้าชื่อกัน 1 ใน 4 ขอให้เปิดการประชุม ฝ่ายเลขานุการต้องดำเนินการเรียกประชุม
โดยเบื้องต้นคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนี้ ได้สรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริง และแจ้งให้ นายปิยะ ปะตังทา รองประธานศาลปกครอง รักษาการตำแหน่งประธานศาลปกครองรับทราบแล้ว หากพบว่ามีความผิดจริง ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย แต่ถ้าไม่ผิดนายดิเรกฤทธิ์ ก็จะพ้นข้อกล่าวหา