ระเบิดที่ราชประสงค์ บทเรียนสื่อไทย ภาพสะท้อนสื่อออนไลน์
"...คำถามและบทเรียนจากระเบิดที่ราชประสงค์ที่สำคัญต่อจากนี้ คือ ถ้า "ระเบิดราชประสงค์" ได้เปลี่ยนแปลงสภาพข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์ให้เป็นไปในทางที่สร้างสรรค์และกระตุ้นเตือนพลเมืองเน็ตให้ใช้สื่อออนไลน์อย่างระมัดระวังมากขึ้นแล้วละก็ ใช่หรือไม่ว่ามันจะกลายมาเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า สื่อมวลชนควรต้องปรับตัวเองให้นำเสนอข่าวอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น เท่าทันและเดินขึ้นนำสังคมและประชาชน ยกระดับการทำหน้าที่ของตนเองให้มากขึ้น..."
เกือบครบสัปดาห์นับตั้งแต่เย็นวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2558 ที่ผ่านมา สังคมไทยเผชิญเหตุการณ์การก่อการร้ายที่น่าสะพรึงกลัวอีกครั้ง เพราะระเบิดที่หน้าห้างสรรพสินค้าย่านกลางเมือง สี่แยกราชประสงค์ ขณะที่ผู้คนเย็นย่ำค่ำมาสักการะบูชาพระหรหมเพื่อสักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์และคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว
ระเบิดในเย็นค่ำวันนั้น คร่าผู้คนไปราว 20 คน และบาดเจ็บอีกนับร้อย พร้อมกับคำถามว่าใครทำและคนอยู่เบื้องหลังคือใคร ต้องการอะไรจากรัฐบาลหรือคนไทย? เหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาที่รอคำตอบ
อย่างไรก็ตาม ภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง ข่าวสารเหตุการณ์ระเบิดพร้อมกับภาพผู้บาดเจ็บเสียชีวิต ก็ถูกนำเสนอและเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ปรากฏภาพศพและชิ้นส่วนของมนุษย์เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเกลื่อนหน้าจอสื่อสังคมและไลน์สนทนาส่วนตัวไม่นานนัก ปฏิกิริยาของชาวโซเชียลมีเดียก็เริ่ม “โต้กลับ” อย่างรวดเร็วและไม่น่าเชื่อว่า นี่คือ “สิ่งที่คนไทยทำ” คือ การเร่งเร้าตะโกนบอกปากต่อปากในสังคมออนไลน์ว่า “กรุณาอย่าแชร์ภาพผู้บาดเจ็บเสียชีวิต”
ผมคิดว่า ใน 2-3 วันแรก ผมได้เรียนรู้บทเรียนที่มีค่าของสังคม ว่า “สิ่งที่ชาวเน็ตเรียนรู้ จากระเบิดที่ราชประสงค์” จากการใช้โซเชียลมีเดียครั้งนี้ เป็นไปอย่างสร้างสรรค์มากที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา
หลังเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ และรอมาจนครบ 48 ชั่วโมง มีสิ่งที่ผมเห็นในสื่อสังคมและอยากจะบันทึกเพื่อเตือนสติและสรุปเป็นมุมมองที่น่าสังเกตสนใจดังนี้ คือ
1. "ไม่แชร์ภาพผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต"
เป็นเรื่องที่เห็นชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในไลน์ส่วนตัว หรือ บนเฟซบุ๊ก หรือในเครือข่ายสื่อสารสังคมออนไลน์อื่น มีผู้คนมากมายที่หันมารณรงค์และร่วมกันทำภาพโปสเตอร์ หรือ การไปแสดงความคิดเห็น การตั้งสเตตัสส่วนตัว แม้กระทั่งคนใกล้ชิดผมในเฟซบุ๊ก เพื่อนหลายคนตั้งสถานะเพื่อเตือนชาวเน็ตร่วมกันว่า อย่าแชร์ภาพศพ หรือ ชิ้นส่วนมนุษย์ เพื่อเป็นการเคารพสิทธิ และศักดิ์ศรีของผู้ตาย
นอกจากนี้ ที่น่าชื่นชม คือ สำนักข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับ (ที่เห็น คือ โพสต์ทูเดย์ สมาคมนักข่าว สภาการหนังสือพิมพ์ และเพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อมวลชนหลายๆ ท่าน ) ร่วมหันมารณรงค์ทำรูปโปสเตอร์เพื่อให้ผู้คนไม่ร่วมแชร์ภาพเหตุการณ์นี้
น่าชื่นชมว่า เหตุผลสำคัญ คือ "การไม่ผิดจริยธรรมและละเมิดสิทธิ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ซึ่งสะท้อนว่ามีผู้ใช้งานเน็ตหลายคนที่เริ่มตระหนักในความสำคัญตรงนี้ และแตกต่างอย่างมากกับสื่อกระแสหลักบางเจ้า เว็บไซต์ข่าวออนไลน์บางแห่ง ที่กลับใช้ภาพเหยื่อผู้เสียชีวิตมาลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ของตนเอง ทั้งที่เป็นสื่อมวลชนที่ควรจะมีจริยธรรมมากกว่า
2. “ระดมขอความช่วยเหลือ”
สิ่งที่น่าชื่นชมและรับรู้ถึงความเป็นคนไทย คือ การหันมาช่วยระดมข้อมูลการสื่อสารอย่างกระตือรือร้น ในการหาล่ามแปลภาษา การระดมบริจาคเลือดสำหรับผู้ป่วย ทุกๆ คนพยายามแชร์และส่งต่อข้อมูลเพื่อให้ความช่วยเหลือ จนสำนักข่าวต่างชาติมองเห็นและกลายเป็นมุมเรื่องดีๆ ที่มาช่วยปลอบโยนคนไทยที่กำลังอกสั่นขวัญหายไปจากเหตุการณ์ร้ายได้ระดับหนึ่ง สะท้อนความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีของผู้คน
3 “เร่งแชร์ข้อมูลความรู้เตือนภัย”
หลายๆ เพจ ความรู้ทำสิ่งที่เปลี่ยนไปด้วยการเพิ่มเติม ให้ข้อมูลความรู้เตือนภัยเกี่ยวกับระเบิด วัตถุต้องสงสัย และมีการเอาตัวรอด และหลบภัย ดูแลตัวเองในสถานการณ์ก่อการร้าย เรื่อยไปจนกระทั่งให้ข้อมูลควรรู้ ควรปฏิบัติที่เราสามารถช่วยระงับเหตุการณ์ความรุนแรง ซึ่งนับว่ามีประโยชน์และได้ความรู้มากขึ้น
4. “ระดม ตามล่าหาตัวผู้ต้องสงสัย”
สถานการณ์ล่าสุด คือ การแชร์ภาพผู้ต้องสงสัยที่อาจเป็นมือระเบิด มีการประกาศ ระดม ภาพ คลิป ข้อมูลจากชาวเน็ต ผู้ที่อาจมีเบาะแสสืบสาวภาพและข้อมูลจากเหตุการณ์ ที่อาจตามไปจนถึงเบาะแสอื่นๆ
ที่ชาวเน็ตอาจต้องเพิ่มความระมัดระวัง คือ เพจต่างๆ ที่ “ปรักปรำ หรือ ทึกทักเอาว่า คนโน้น คนนี้ คือ มือระเบิด” อันนี้ระวังกฎหมายหมิ่นประมาทนะครับ ถ้าเห็นอะไรแบบนี้ ก็อย่าไปกดไลค์ หรือแชร์ต่อ เพราะเรื่องการประกาศผู้ต้องสงสัย เป็นหน้าที่ของตำรวจ และต้องรออย่างเป็นทางการเท่านั้น อย่าไปเอารูปหน้าเหมือน หน้าคล้าย มาวางรูปคู่ประกบกันนะครับ เพราะผิดกฎหมายทั้งพรบ. คอมพิวเตอร์ และ กฎหมายหมิ่นประมาท
นอกจากนี้ หลายๆ เพจ ยังสามารถให้ข้อมูลเบาะแส เงื่อนงำที่เป็นประโยชน์ ข้อความบางคน อาจจะยังผสมผสานระหว่างข่าวลือ ข่าวมั่ว ข่าวลวง แต่หลายๆ เงื่อนงำ ก็เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ที่จะช่วยขยายผลการสืบสวน
ทว่าบางเพจก็นำไปสู่การตีตราประณามกล่าวหาคนอื่นๆว่าเป็นมือระเบิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย จริยธรรม และปราศจากการใคร่ครวญตรวจสอบ และยิ่งทำให้สังคมชาวเน็ตบางส่วน กระโจนลงไปในหลุมพรางแห่งความเกลียดชัง
5. “การเชื่อมโยงข้อมูลที่ลึก รอบด้านมากขึ้น”
เหตุการณ์ข้อมูลข่าวสารนี้ ช่วยเพิ่มรับความกว้างของข้อมูลข่าวสาร ให้ชาวเน็ตเริ่มมองอะไรมากกว่าความขัดแย้งในประเทศที่ผ่านมา มีการส่งต่อและแชร์บทความ ทัศนะมุมมองใหม่ๆ โดยเฉพาะจากสื่อมวลชนต่างประเทศ
มีการเชื่อมโยงเหตุการณ์และเบาะแสใหม่ๆ ที่ทำให้เราสามารถมองเรื่องนี้อย่างรอบคอบและรอบด้านมากขึ้น ซึ่งสื่อมวลชนหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ช่วยได้มากขึ้น (นอกจากข่าวเชิงเหตุการณ์ ปรากฏการณ์แล้ว) ก็ยังพบว่าบทความ บทวิเคราะห์นี้สามารถเขียนและถ่ายทอดชี้เงื่อนงำและวิเคราะห์ผลกระทบได้มากขึ้น
หลายเพจ หลายบทความ ต้องอ่านด้วยความระมัดระวังมากขึ้น และเริ่มมีคนทักท้วง ตั้งคำถามกับข้อมูลต่างๆ ที่เผยแพร่ผ่านโลกออนไลน์ ด้วยการระมัดระวังมากขึ้น มีคนทำรูปโปสเตอร์รณรงค์การใช้เน็ตที่คิดก่อนแชร์ คิดก่อนโพสต์ ตรวจสอบก่อนเชื่อมากยิ่งขึ้น
6. "ร่วมความรู้สึกผลกระทบของเหตุการณ์"
ถ้าไม่นับมุกตลก ล้อเลียน เสียดสี ที่ถือว่าเป็นเรื่องไม่ดีนักต่อการนำเอาความรุนแรงมาล้อเลียนบุคคลและเจ้าหน้าที่รัฐต่างๆ สำหรับข้อมูลเรื่องผลกระทบ สภาพบรรยากาศ การท่องเที่ยว ก็นับว่าทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าผลกระทบของระเบิดนั้น สร้างความเสียหายในเชิงเศรษฐกิจได้
แต่น่าสนใจว่าฝ่ายสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่รัฐ รับมือกับการโจมตีหวังผลกระทบนี้ได้เร็ว สังเกตได้จาก สำนักข่าวในประเทศ และต่างประเทศ สามารถนำเสนอสกู๊ปข่าวเพื่อเรียกความมั่นใจของประเทศกลับมาได้ในระดับหนึ่ง สื่อมวลชนไทยเอง ก็สามารถพลิกมุมประเด็นข่าวเพื่อเรียกร้องความสนใจจากนักท่องเที่ยวมาก (ด้วยการนำเสนอบรรยากาศ ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว) ซึ่งนับว่าเป็นการช่วยสถานการณ์ได้ดีระดับหนึ่ง
การนำเสนอข่าว การเยียวยา การสร้างมาตรการป้องกัน เร่งติดตามจับกุม นับว่าเร็วมากสำหรับ 2 วันที่ผ่านมา
อาจมีสิ่งไม่ดีบ้าง ที่หลุดออกมา เช่น ข่าวลือ ข่าวรั่ว ข่าวสร้างส่งต่อเพื่อสร้างกระแสหวาดหวั่นวิตก
แต่เท่าที่ผมสังเกต คิดว่ารอบนี้ชาวเน็ตไทยรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ดีมาก อาจมีบ้างเล็กๆ น้อยๆ ที่แชร์ภาพผู้เสียชีวิต หรือ คนที่อาศัยกระแสนี้สร้างชื่อ สร้างภาพ สร้างราคาให้กับตัวเอง ต่างกรรมต่างวาระ ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจและควรตักเตือนด้วยเหตุผล
การร่วมกันแสดงความรู้สึกเสียใจ ร่วมกับผู้เสียชีวิต ร่วมประณามต่อผุ้กระทำความรุนแรง และช่วยกันใช้ข้อมูลข่าวสารไปในทางที่เป็นประโยชน์ ผมเห็นผู้คนมากมายหันมาร่วมคิดแสดงออกต่อเหตุการณ์ความรุนแรงนี้ไปในทางสร้างสรรค์มากกว่าทำลาย หลายคนเริ่มมากดรีพอร์ท และพูดคุยตักเตือนกันเองในช่องการแสดงความคิดเห็น หลายคนยอมรับและเห็นด้วยที่จะไม่แชร์ภาพ ข่าว และข้อมูลที่เป็นเท็จ
อย่างไรก็ตามเมื่อหันกลับไปมองการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ทั้งสื่อวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ก็พบว่าให้พื้นที่ข่าวสารเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่สุด สื่อทุกช่องโหมประโคมรายงานนำเสนอความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องและมีรายงานนำเสนอมากขึ้นเป็นลำดับเพื่อมุ่งตามจับคนร้ายผู้ต้องหามาลงโทษ
แต่ก็ยังมีบางสื่อ ส่วนน้อย ที่ทำงานครั้งนี้ไปอย่างผิดพลาดและไม่ระมัดระวัง สะท้อน “ความไม่เป็นมืออาชีพของสื่อมวลชน” จากการรายงานข่าวที่ทั้งผิดพลาด และไม่เหมาะสม
ผมไม่เข้าใจว่า ทั้งสื่อมวลชน ทั้งตำรวจ เป็นอะไรไปกันหมด? ไปทำข่าว ไปสืบค้นคดีระเบิดราชประสงค์ แต่กลับเปิดเผยข้อมูลอัตลักษณ์ตัวตนพยานเหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์ ทั้งคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ทั้งคนขับรถตุ๊กๆ ปล่อยทั้งชื่อ ภาพ และที่อยู่ ของคนให้ข้อมูลแก่สาธารณะ
สื่อจะปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยให้พยานได้ไหม? ตำรวจเองก็ปล่อยข้อมูลนี้ออกมายังสาธารณะได้อย่างไรกัน???
นี่มันเกินเลยล้ำเส้นจากความรับผิดชอบ ไปเป็นการกระหายข่าวจนไม่คิดรอบคอบไปแล้ว!
ความผิดพลาดทั้งหมด ที่เกิดขึ้น กับสื่อมวลชน คือ
(1) นำเสนอภาพข่าวของผู้เสียชีวิต ในลักษณะอุจาด รุนแรง หวาดเสียว โดยไม่คำนึงถึงจิตใจของผุ้อ่านและเครือญาติของผู้เสียชีวิต
(2) ความพยายาม “ดื้อดึง-ดึงดัน ที่จะรายงานข่าวในพื้นที่” ของนักข่าว ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ห้ามและพยายามกันออกจากพื้นที่ เพราะอยากได้ข่าวมากกว่าคิดถึงความปลอดภัยของตนเอง ทีมงาน และคนอื่นๆ
(3) นำเสนอข้อมูล ภาพ อัตลักษณ์ ที่อยู่ ชื่อ ของพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์/แหล่งข่าว ในลักษณะไม่ปกปิด ไม่คำนึงถึงการคุ้มครองความปลอดภัยให้พยานในคดีก่อการร้าย
(4) ไม่ระมัดระวังความรู้สึกของประชาชน ในการทำรายการข่าว ทำรายงานสถานการณ์จำลอง ที่สุ่มเสี่ยงต่อความเข้าใจผิดของประชาชน หรือ กระทบความรู้สึกหวาดกลัวของประชาชน
กรณีหลังสุด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์เนชั่น ได้ออกมายอมรับผิดและกล่าวขอโทษต่อสาธารณะและประกาศว่าจะมีมาตรการลงโทษพนักงานที่ทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และสิ่งที่น่าชื่นชมคือ บรรดาผุ้สื่อข่าวเนชั่นต่างก็ออกมากันยอมรับผิดและขอโทษแทนความผิดพลาดทั้งหมดในนามของสถานี
ขณะที่บางช่อง ที่ทำรายงานข่าวผิดพลาด ก็ยังไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไร
โดยส่วนตัวของผมเอง ทั้งในฐานะนักวิชาการสื่อ นักดูนักเสพข่าว ขอเสนอเสียงดังๆ ของตนเอง เป็น "ข้อเรียกร้องถึงฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง" จากกรณีข่าวระเบิดที่ราชประสงค์ ในครั้งนี้ เพราะพบว่าการทำหน้าที่รายงานและนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนมีปัญหาหลายอย่าง
ขอเรียกร้องไปยังฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องดังนี้
(1) ขอเรียกร้องให้องค์กรสื่อวิทยุ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ ปกปิดข้อมูลอัตลักษณ์ของพยานในเหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์ทั้งหมด ด้วยการคำนึงถึงความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และความลับในกระบวนการสืบสวน
(2) ขอเรียกร้องให้ สมาคมวิชาชีพสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ออกประกาศตักเตือนเพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อมวลชน ให้มีความระมัดระวังในการนำเสนอข่าวเหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์ และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลข่าวสาร และนำเสนอข้อมูลที่ลึก รอบด้าน อย่างเป็นกลาง ไม่เอนเอียงอคติ หรือบิดเบือนประเด็นข่าวสารเพื่อใช้ประโยชน์ทางการเมือง
(3) ขอเรียกร้องให้ กสทช. และกระทรวงไอซีที กำกับดูแลผู้ประกอบการวิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม ในการร่วมมือ ให้ข้อมูลที่จำเป็น และหรือปกปิดข้อมูลรูปคดี และตรวจสอบข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อย่างคำนึงถึงจรรยาบรรณ และความไม่ตื่นตระหนกของสังคม
(4) ขอเรียกร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำกับดูแลการให้ข่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจแก่สื่อมวลชนในทางที่ปกป้องคุ้มครองเหยื่อและพยานจากเหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์ เพื่อรักษาประโยชน์แห่งรูปคดีในกระบวนการยุติธรรม
คำถามที่สำคัญที่ยังหลงเหลือ คือ สื่อออนไลน์ในประเทศไทยยังมีหลายสำนัก แต่เราตรวจสอบระแวดระวังภัยมากพอกันแล้วละหรือที่ผ่านมา? คุณภาพข่าวสารจากสื่อมวลชนของเราเพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารสำคัญ มีดีมีพร้อมมากเพียงไหน
คำถามและบทเรียนจากระเบิดที่ราชประสงค์ที่สำคัญต่อจากนี้ คือ ถ้า "ระเบิดราชประสงค์" ได้เปลี่ยนแปลงสภาพข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์ให้เป็นไปในทางที่สร้างสรรค์และกระตุ้นเตือนพลเมืองเน็ตให้ใช้สื่อออนไลน์อย่างระมัดระวังมากขึ้นแล้วละก็ ใช่หรือไม่ว่ามันจะกลายมาเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า สื่อมวลชนควรต้องปรับตัวเองให้นำเสนอข่าวอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น เท่าทันและเดินขึ้นนำสังคมและประชาชน ยกระดับการทำหน้าที่ของตนเองให้มากขึ้น
ผมคิดว่าสื่อมวลชนอาจต้องร่วมกันลงมือทำข่าวสืบสวนสอบสวนมากขึ้น กว่าที่เราจะพึ่งสายตาและมุมมองของสื่อมวลชนต่างประเทศ เราต้องหันมาคิดทบทวนดูว่า การข่าว งานข่าว รายงานข่าว ของสื่อมวลชนไทยที่ผ่านมา เรารู้ตื้นลึกหนาบางอย่างไรต่อภัยและความมั่นคง เพื่อสร้างสภาวะการรับมือเท่าทันกับสถานการณ์ความรุนแรงแบบนี้ และครั้งนี้หรือครั้งต่อๆ ไปในอนาคต
โดยสรุป การใช้งานของชาวสื่อสังคมและสื่อมวลชนในครั้งนี้ ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่า เราควรและได้เรียนรู้ว่าสื่อออนไลน์นั้น ต้องใช้อย่างระมัดระวังและมีสติ มีวิจารณญาณมากขึ้น
ระเบิดลูกนี้ อาจทำให้ผู้คนในสังคมไทย ได้คิดและหันมารักและใส่ใจ เข้าใจปัญหาของประเทศ และเสพข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติมากขึ้นอีกในอนาคต
สุดท้ายนี้ ขอส่งเสียงเบาๆ ของตนเอง เตือนชาวเน็ต และแอดมินเพจการเมืองต่างๆในโลกออนไลน์ว่า อย่านำภาพจำลองหน้าตาผู้ต้องหามือระเบิดไปเทียบกับตัวเอง หรือ คนอื่นๆ เพื่อนๆ คนรู้จัก แล้ว เขียน สื่อสารว่า สงสัยว่าจะเป็นมือระเบิด ไม่ว่าจะทำเล่นๆ หรือ ไปทึกทักเอาจริงเอาจัง กรณีหลัง อาจเข้าลักษณะหมิ่นประมาทได้ และการเขียนบทความวิเคราะห์ชี้เป้า ระดมการไล่ล่าออนไลน์บุคคลอื่นนั้น พึงกระทำด้วยความระมัดระวังและปราศจากอคติทางการเมืองด้วยเถิด
อย่าให้ระเบิดที่ราชประสงค์นำสังคมไทยไปสู่ความแตกแยกขัดแย้งรุนแรง อื่นๆด้วยเชื้อประทุแห่งความเกลียดชังด้วยเลย
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก m.posttoday.com