ย้อนรอยอุยกูร์...ปมขัดแย้งสู่ชนวนบึ้มราชประสงค์?
แม้จนถึงขณะนี้รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการว่า เหตุลอบวางระเบิดครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา บริเวณริมรั้วศาลพระพรหมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์ เกี่ยวโยงกับกลุ่มอุยกูร์หัวรุนแรงตามที่หลายฝ่ายวิเคราะห์และคาดการณ์หรือไม่ก็ตาม
ทว่าการที่เหตุระเบิดคร่าชีวิตนักท่องเที่ยวชาวจีนไปหลายราย และยังมีชาวจีนได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก กระทั่งนำมาสู่คำสั่งเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยสถานที่ที่มีชาวจีนรวมตัวกันอยู่หนาแน่น หนำซ้ำในการแถลงข่าวของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็ยังนำผู้เชี่ยวชาญภาษาจีนมาร่วมแถลงด้วย ย่อมเป็นเครื่องยืนยันอย่างหนึ่งว่า ข้อสันนิษฐานของทางการไทย ผู้ก่อเหตุระเบิดน่าจะเป็นฝ่ายต่อต้านจีน นอกเหนือจากสมมติฐานความขัดแย้งการเมืองภายในประเทศไทยเอง
กรณีเกี่ยวกับประเทศไทยที่กลุ่มต่อต้านจีนไม่พอใจมากที่สุด ย่อมหนีไม่พ้นเหตุการณ์ที่รัฐบาลไทยตัดสินใจส่งชาวมุสลิมอุยกูร์ จำนวน 109 คนที่ถูกควบคุมตัวฐานหลบหนีเข้าเมืองมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2557 ไปให้รัฐบาลจีนเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ยอมส่งมุสลิมอุยกูร์ที่เป็นผู้หญิงและเด็กซึ่งถูกควบคุมตัวในคราวเดียวกัน ไปให้รัฐบาลตุรกีก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน
การส่งชาวมุสลิมอุยกูร์จำนวน 109 คนไปให้รัฐบาลจีน ทำให้ไทยถูกตำหนิจากนานาประเทศ และถูกโจมตีจากองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งไทยและสากล หนำซ้ำสถานกงสุลไทย ณ นครอิสตันบูล เมืองหลวงของตุรกี ก็ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์บุกเข้าไปทุบทำลายข้าวของจนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทยถูกตำหนิอย่างรุนแรงในเรื่องนี้ ก็เพราะชาวมุสลิมอุยกูร์ถูกมองอย่างเป็นปฏิปักษ์จากรัฐบาลจีน จากความขัดแย้งด้านเชื้อชาติและศาสนาในมณฑลซินเจียง มณฑลใหญ่ที่สุดทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งจีนประกาศให้เป็นเขตปกครองตนเองซินเจียง-อุยกูร์
ชาติพันธุ์ "อุยกูร์" เป็นเชื้อสายหนึ่งของชาติพันธุ์เติร์กซึ่งแผ่อิทธิพลและตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบเอเชียกลางมาตั้งแต่อดีต โดยอุยกูร์กลุ่มใหญ่ตั้งรกรากอยู่ในดินแดนที่เป็นมณฑลซินเจียงในปัจจุบัน และเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมอันลือลั่นมาแต่ครั้งโบราณกาล กระทั่งถูกจีนผนวกรวมเข้าเป็นดินแดนของตน
ที่ผ่านมา จีนพยายามใช้นโยบายต่างๆ เพื่อจัดการชาวอุยกูร์ในมณฑลแห่งนี้ให้ราบคาบ ทั้งปราบปรามและผสมกลมกลืน เช่น สนับสนุนให้ชาวฮั่นเข้าไปตั้งถิ่นฐาน พยายามปิดกั้นการนับถือศาสนาและการปฏิบัติศาสนกิจ ก่อนจะมีการปรับนโยบายให้ผ่อนคลายลงในภายหลัง เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและให้สิทธิพิเศษต่างๆ แก่ชาวอุยกูร์พื้นเมืองเพื่อให้ทัดเทียมกับชาวฮั่น รวมทั้งเสรีภาพด้านการใช้ภาษา แต่นั่นก็ดูจะยังไม่เพียงพอ
ขบวนการต่อต้านจีนยกระดับจัดตั้งกองกำลังต่อสู้เพื่อสถาปนาสาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออก มีการก่อเหตุรุนแรงเพื่อกดดันรัฐบาลเป็นระยะ
วันที่ 5 กรกฎาคม 2552 มีการก่อจลาจลครั้งใหญ่ในเขตปกครองตนเองซินเจียง-อุยกูร์ จนรัฐบาลจีนต้องตัดสินใจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 150 คน และตั้งแต่บัดนั้น ดินแดนแห่งนี้ก็ร้อนระอุมาตลอดกระทั่งถึงปัจจุบัน มีการโจมตีโดยใช้ความรุนแรงรูปแบบต่างๆ เกิดขึ้นในเมืองใหญ่หลายเมืองของจีน ซึ่งรัฐบาลจีนเชื่อว่าเป็นการกระทำของกลุ่มอุยกูร์หัวรุนแรง
ประเด็นที่น่าสนใจและถูกหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต ก็คือ ศักยภาพของอุยกูร์ยังไม่เคยก่อเหตุรุนแรงนอกประเทศจีนเลยแม้แต่ครั้งเดียว หากเหตุระเบิดที่ราชประสงค์เป็นการกระทำของกลุ่มนี้จริง ก็ถือเป็นครั้งแรกที่กลุ่มอุยกูร์หัวรุนแรงเปิดปฏิบัติการนอกประเทศ
ในห้วงเวลาที่ฝุ่นควันยังตลบอบอวล สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ สตม.ได้ปูพรมเข้าตรวจสอบห้องพัก เกสต์เฮาส์ และคอนโดมีเนียมที่คาดว่าเป็นแหล่งพำนักของชาวอุยกูร์แล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่สีลมและใกล้เคียง ซึ่งเป็นจุดที่ "ชายเสื้อเหลือง" ผู้ต้องสงสัยวางระเบิดที่ศาลพระพรหม หลบหนีไปหลังก่อเหตุ
ปัจจุบันมีชาวอุยกูร์หลบหนีเข้าเมืองถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องกักของ ตม.จำนวน 63 คน ในจำนวนนี้ 23 คนอยู่ที่กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 หรือ ตม.6 สงขลา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตกค้างจากการส่งชาวอุยกูร์ไปยังตุรกีและจีน ส่วนที่เหลืออีก 40 คน กระจายอยู่ในห้องกักของ ตม.อีก 5 แห่ง
ส่วนชาวอุยกูร์หลบหนีเข้าเมืองที่ไม่ได้ถูกจับกุม โดยมากมักแฝงตัวอยู่ตามชุมชนมุสลิม และทำตัวให้กลมกลืนกับสภาพพื้นที่ โดยแหล่งพำนักสำคัญๆ ก็เช่น ย่านมีนบุรี ย่านรามคำแหง ในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : ภาพที่อ้างว่าเป็นเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่จีนคุมตัวชาวมุสลิมอุยกูร์จากประเทศไทย กลับไปยังประเทศจีน
หมายเหตุ : ภาพถูกปรับแต่งเพื่อพรางรายละเอียด โดยฝา่ยศิลป์ ศูนย์ข่าวอิศรา
ขอบคุณ : ภาพต้นฉบับจากเฟซบุ๊ก People's Daily, China ซึ่งเป็นภาพเดียวกับที่มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอใน CCTV ของจีน