ภาคประชาสังคมค้านไทยเข้า TPP ตามคำชวนสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน
ภาคประชาสังคมค้านไทยเข้า TPP ตามคำชวนสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน หวั่นเข้ามาเเสวงหาผลประโยชน์ในไทย ผอ.มูลนิธิชีววิถีจับตา บ.เมล็ดพันธุ์ระดับโลกใช้ช่องหนุนไทยส่งเสริมปลูกพืชจีเอ็มโอ ผ่านร่าง กม.ความปลอดภัยทางชีวภาพ
สัปดาห์ที่ผ่านมาสภาธุรกิจสหรัฐฯ - อาเซียน (USABC) เข้าพบนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของไทย โดยได้ชักชวนเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (TPP) เสนอให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านเมล็ดพันธุ์ คัดค้านพ.ร.บ.ยา นั้น
ภาคประชาสังคมไทยที่ติดตามการเจรจาการค้าและพฤติกรรมของนักลงทุนสหรัฐฯ จึงร่วมกันแถลงข่าว เรื่อง สภานักธุรกิจอเมริกัน-อาเซียน ชวนไทยเข้า TPP:หวังดีประสงค์ร้าย? ณ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน (คอบช.) กล่าวว่า การเจรจาความตกลง TPP มีประเด็นที่ไทยไม่เคยเจรจาเปิดเสรีมาก่อนในเอฟทีเอกรอบอื่น ๆ เพราะเป็นประเด็นที่มีผลกระทบสูง เช่น ทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับยา ทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ การคุ้มครองการลงทุนที่เปิดโอกาสให้การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชนสามารถใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ (Investor-State Dispute Settlement – ISDS) เป็นทางเลือกในการระงับข้อพิพาทซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะของประเทศ ทั้งด้านสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการคุ้มครองผู้บริโภค
การตัดสินใจจะเข้าร่วมหรือไม่จึงต้องเป็นกระบวนการที่รอบคอบมากที่สุด แต่พบว่า กระบวนการที่ผ่านมาแม้จะมีมาตรา 190 ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ก็ยังเป็นไปอย่างเร่งรีบและรวบรัด ทำให้สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ทำความเห็นถึงทั้งรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เนื่องจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจะรุนแรงมากเกินเยียวยาเมื่อเทียบกับผลประโยชน์สิทธิพิเศษทางการค้าในระยะสั้น
“นักลงทุนอเมริกันทราบดีว่า รัฐบาลที่มาจากรัฐประหารมักต้องการได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ เราจะพบว่าทุกครั้งที่มีรัฐบาลประหารจะมีทั้งข้อเสนอ คำขู่ คำปลอบมาตลอด รัฐบาลทหารที่ผ่านมาก็เคยหลงเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นในปี 2535 รัฐบาลยอมแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตรยอมรับสิทธิบัตรยาก่อนหน้าที่ความตกลงใน WTO จะบังคับถึง 8 ปีทำลายอุตสาหกรรมยาในประเทศ
ยอมตัดภาษีนำเข้าสารเคมีทางการเกษตร ทำให้สารเคมีอันตรายทะลักเข้ามา พืชผักของเรามากกว่า 60% มีสารเคมีทางการเกษตรตกค้างในระดับอันตราย ปี 2551 รัฐบาลยอมลงนามในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายของญี่ปุ่นในการทิ้งขยะอันตราย และครั้งนี้นักธุรกิจอเมริกันก็กำลังจะใช้มุขเดิม
อย่างไรก็ตาม ประธาน คอบช.ยังกล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ยังใช้ข้อมูลงานวิชาการที่ประเมินผลกระทบด้านสุขภาพอยู่ โดยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการผูกขาดข้อมูลทางยา (Data Exclusivity) ค่าใช้จ่ายด้านยาของไทยจะสูงขึ้นอีกปีละไม่ต่ำกว่า 81,356 ล้านบาท ขณะที่การขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรยาเพิ่มขึ้นอีก 5 ปี ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาเพิ่มขึ้นอีกเป็นปีละ 27,883 ล้านบาท ยังไม่นับรวมการปล่อยคำขอสิทธิบัตรที่ไม่มีคุณภาพให้ได้สิทธิผูกขาดที่เรียกว่า evergreening patent ที่จะทำให้ยามีราคาแพงโดยไม่มีคู่แข่งในตลาดอีกยาวนาน แต่ต้องจับตา เพราะแรงกดดันมีมาก
ด้านนายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) ระบุโดยมีข้อสังเกตว่า จากการเข้าพบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในครั้งนี้มีบริษัทมอนซานโต้ยักษ์ใหญ่ด้านการเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งทราบกันโดยทั่วไปว่ากำลังผลักดันอย่างหนักผ่านหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งมหาวิทยาลัย กระทรวงต่าง ๆ สภาปฏิรูปแห่งชาติ ฯลฯ เพื่อกดดันให้ประเทศไทยอนุญาตให้มีการปลูกพืชจีเอ็มโอโดยเร็ว โดยยักษ์ใหญ่ข้ามชาติด้านการเกษตรของสหรัฐได้อ้างต่อพลเอกประยุทธ์ว่า
“สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และอยากให้ประเทศไทยเป็น “seed hub” เนื่องจากประเทศไทยมีที่ตั้งที่เหมาะกับการผลิตเมล็ดพันธุ์ และจะช่วยให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงเมล็ดพันธุ์พืชที่มีคุณภาพได้โดยตรง และจะช่วยลดต้นทุนการผลิต" โดยเอกสารเผยแพร่ของทำเนียบรัฐบาลได้ระบุว่า "นายกรัฐมนตรียินดีให้การสนับสนุน”
ผอ.มูลนิธิชีววิถี กล่าวต่อว่า แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการให้คำตอบว่ารัฐบาลไทยให้การสนับสนุนนั้นจะออกมาในรูปแบบใด แต่ไบโอไทยซึ่งได้ติดตามการผลักดันของมอนซานโต้และรัฐบาลสหรัฐคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการเสนอร่างกฎหมายความปลอดภัยทางชีวภาพเพื่อให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบ เพื่อเปิดทางสะดวกในการปลูกพืชจีเอ็มโอในประเทศไทย ทั้ง ๆ ที่ร่างกฎหมายฉบับนี้มีเนื้อหาเอื้ออำนวยแก่มอนซานโต้ให้สามารถปลูกพืชจีเอ็มโอได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดความเสียหายขึ้น จน สปช.มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้ถอนร่างออกจากการพิจารณาของสปช.เมื่อวันที่ 22 กรกฏาคมที่ผ่านมา
นอกจากผลประโยชน์มหาศาลจากการปลูกพืชจีเอ็มโอของมอนซานโต้ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการผูกขาดเมล็ดพันธุ์ และส่งผลกระทบต่อตลาดสินค้าเกษตรของไทย เพราะตลาดทั่วโลกมีแนวโน้มต่อต้านสินค้าจีเอ็มโอมากเพิ่มขึ้นแล้ว มอนซานโต้และกลุ่มบริษัทเมล็ดพันธุ์และเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐฯ ยังได้ผลักดันให้ประเทศไทยแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตรให้คุ้มครองสิ่งมีชีวิต และแก้ไขกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 ให้ไปใช้ระบบกฎหมายที่เรียกว่า UPOV1991 ด้วย การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้บริษัทข้ามชาติสามารถเข้ามาจดสิทธิบัตรและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพโดยไม่ต้องแบ่งปันผลประโยชน์
“ไบโอไทยและกลุ่มนักวิชาการเคยประเมินผลกระทบของการสูญเสียประโยชน์จากกรณีดังกล่าวว่าจะมีผลให้เกิดความเสียหายซึ่งจะทำให้เกษตรกรจ่ายค่าเมล็ดพันธุ์แพงขึ้นประมาณ 50,000-100,000 ล้านบาท และทำให้ประเทศต้องสูญเสียประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพคิดเป็นมูลค่า 70,000-120,000 ล้านบาท/ปี รวมผลกระทบ 120,000-220,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ไม่นับถึงผลกระทบระยะยาวที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหารและผลกระทบต่ออธิปไตยของประเทศเหนือทรัพยากรชีวภาพซึ่งมีค่าที่ไม่อาจประเมินได้อีกด้วย”
น.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) กล่าวว่า ขณะนี้ภาคประชาสังคมและและภาควิชาการใน 12 ประเทศที่กำลังเจรจา TPP ต่างคัดค้านและท้วงติงอย่างมากโดยเฉพาะเนื้อหาการคุ้มครองการลงทุนที่ให้อำนาจนักธุรกิจต่างชาติฟ้องล้มนโยบายสาธารณะที่คุ้มครองประชาชน จนทำให้การเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งประเทศไทยเจอกรณีใกล้เคียงกันนี้ ทั้งกรณีที่ถูก บ.วอลเตอร์บาวน์ ผู้ถือหุ้นดอนเมืองโทลล์เวย์ฟ้องร้อง ค่าเสียหายมากกว่า 1,400 ล้าน และที่ผู้ถือหุ้นของ บ.ทุ่งคา ฮาเบอร์ ฟ้องร้อง ดังนั้น ขณะนี้รัฐบาลชั่วคราวจึงไม่ควรเข้าไปเจรจาผูกมัดประเทศชาติ แต่ควรทำหน้าที่สนับสนุนให้มีการร่างรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ดี และเปิดโอกาสให้ประเทศไทยมีบรรยากาศประชาธิปไตยเต็มที่ เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์นำเสนอข้อมูลต่อสังคม ไม่ใช่เป็นดังเช่นในปัจจุบันที่มีแต่นักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศคอยให้ข้อมูลแก่รัฐบาลเท่านั้น
“การร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 193 ว่าด้วยการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ มีจุดที่น่าวิตกคือ นิยามหนังสือสัญญาไม่นับรวมสัญญาเงินกู้ ซึ่งส่วนใหญ่สัญญาเหล่านี้มีเงื่อนไขบังคับประเทศ ไม่นับรวมการคุ้มครองการลงทุน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะ และไปอ้างอิงความตกลงใน WTO ซึ่งมีความตกลงน้อยลงทุกที ส่วนใหญ่เกิดนอก WTO มากกว่า นอกจากนี้ กรอบการเจรจาผ่านการพิจารณาแค่ระดับคณะกรรมาธิการต่างประเทศ ไม่ใช่รัฐสภาดังที่เคยเป็นตามรัฐธรรมนูญ 2550 และยังไม่มีการรับฟังเสียงของประชาชนก่อนลงนามผูกพัน หากเป็นเช่นนี้โอกาสที่จะพิจารณาให้เกิดความรอบคอบไม่สามารถเกิดขึ้นได้” ผู้ประสานงานเอฟทีเอว็อทช์ ระบุ