อย่ามัดมือตัวเองโดยห้าม Earmark Tax
สังคมไทยมีความเข้าใจผิดในเรื่องสำคัญอยู่เรื่องหนึ่งที่หากไม่ช่วยกันอาจนำไปสู่การสูญเสียประโยชน์ของประชาชนอย่างมหาศาลได้ เรื่องนั้นก็คือเรื่อง Earmark Tax
ในระดับสากลการใช้ Earmark Tax หรือบางครั้งเรียกว่า Hypothecation ก็คือการที่กฎหมายกำหนดให้จัดสรรรายได้ส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดจากการจัดเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมให้ไปใช้เป็นการเฉพาะสำหรับวัตถุประสงค์ หรือโครงการหนึ่ง ๆ หรือให้มีการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมบางประเภทเป็นการพิเศษ หรือแม้แต่ให้มีค่าลดหย่อนภาษีเป็นพิเศษสำหรับโครงการที่กำหนดนั้น ๆ
ในประเทศเรามีการใช้ Earmark Tax อยู่ในหลายลักษณะ ที่โดดเด่นคนจับตามองก็คือกรณีของ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ซึ่งกฎหมายกำหนดให้จัดสรรรายได้ร้อยละ 2 ของภาษีที่เก็บได้จากภาษีสุราและยาสูบให้แก่องค์กรนี้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน ซึ่งครอบคุลมทั้งด้านสุขภาวะทางกาย จิต และสังคม
อีกองค์กรหนึ่งคือ TPBS (องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย) ได้รับรายได้ร้อยละ 1.5 แต่ไม่ให้เกิน 2,000 ล้านบาทต่อปี
สององค์กรนี้ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของบางภาคส่วนมานาน ในเบื้องต้นเป็นความ ่น่าหมั่นไส้ ่เนื่องจากมีรายได้สม่ำเสมอตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ต้องไปคอยชี้แจงงบประมาณกับเหล่าผู้กุมอำนาจงบประมาณ และมีความคล่องตัวในการใช้ สสส. ต่อต้านเหล้าสุรา บุหรี่ รวมทั้งสรรพสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาวะของคนไทย การทำงานในบทบาทนี้จึงมีศัตรูรอบข้างเพราะทำให้รายได้ของธุรกิจหายไปแต่คนไทยมีสุขภาวะดีขึ้น
ส่วน TPBS นั้นทุกสถานีโทรทัศน์ในปัจจุบันที่ต่อสู้กันอย่างหนักเจียนตายเพราะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้รัฐตามสัญญาฃึ่งต่างจาก TPBS ที่ยืนได้อย่างแข็งแรงเพราะรายได้จากรัฐ สามารถต้านคลื่นลม และมีรายการที่เป็นอิสระ หลายรัฐบาลไม่สบอารมณ์การมีสื่อที่เป็นอิสระ
มีข่าวออกมาว่า มีข้อเสนอในการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ที่จะห้าม Earmark Tax เด็ดขาด สำหรับ 2 องค์กรข้างต้นก็จะให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 3 ปีเท่านั้น เมื่อผู้เขียนได้ยินแล้วมีความรู้สึกหลายประการดังต่อไปนี้
ประการแรก การระบุไว้เช่นนี้ในรัฐธรรมนูญถือได้ว่า กำลังมัดมือตนเอง เพราะจะทำให้ความคล่องตัวในการทำงานของภาครัฐทั้งในบทบาทที่ตนเองทำเองและสนับสนุนองค์กรภาคประชาชนหมดไปทันที
ในต่างประเทศนั้นการใช้ Earmark นั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาและมีมายาวนาน ตัวอย่างเช่น อินโดนีเซียเก็บภาษีเพิ่มพิเศษจากผู้พักโรงแรมเพื่อเอาไปใช้ในการจัดกีฬาซีเกมส์ อังกฤษและประเทศยุโรปจำนวนมากเก็บค่าธรรมเนียมจากการเป็นเจ้าของโทรทัศน์เพื่อการมีสื่อเสรีปลอดจากการเมือง สหรัฐอเมริกามีการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินในระดับถ้องถิ่นเพื่อเอาไปใช้ในการศึกษาเป็นการเฉพาะ ฯลฯ
กลุ่มประเทศ OECD (ประเทศพัฒนาแล้ว 30 ประเทศ) กับ EU มี Earmark Tax ที่จัดสรรรายได้จากภาษีอากร ค่าธรรมเนียม ค่าใช้บริการ ที่เกี่ยวพันกับการจัดการสิ่งแวดล้อม (กำจัดอากาศเสีย ของเสีย จัดการเรื่องน้ำ) ถึง 65 ภาษีใน 18 ประเทศ และ 109 ค่าธรรมเนียมและค่าใช้บริการใน 23 ประเทศ
อย่างไรก็ดีเป็นความจริงที่ว่า ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2010 รัฐสภาห้ามมิให้ใช้ Earmark Tax อีกต่อไปหลังจากที่ใช้กันมานับร้อยปี การห้ามในประเทศนี้เป็นเรื่องพิเศษ เพราะที่ผ่านมามีการใช้ Earmark Tax สำหรับโครงการต่าง ๆ จำนวนมหาศาลเพื่อหาเสียงของนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นสะพาน โครงการทางด่วน ก่อสร้างถนน ฯลฯ การใช้ Earmark Tax ก็ทำได้ง่ายเพียงบรรจุไว้ในเอกสารงบประมาณของกรรมาธิการงบประมาณเท่านั้น การกระทำเช่นนี้ได้นำไปสู่คอรัปชั่น การหาเสียงแบบผิด ๆ ว่ากันเละเทะจึงถึงจุดที่ห้ามกัน
ในบ้านเรากว่าที่โครงการ Earmark Tax ของ 2 องค์กรนี้จะคลอดออกมาได้นั้นเป็นเรื่อง หนักหนาสาหัส ใช้เวลายาวนาน แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว สสส. ก็ได้กลายเป็นโครงการตัวอย่างที่หลายประเทศต้องการเลียนแบบเพราะสนับสนุนงานสาธารณสุขอย่างมิให้มีช่องว่างและทำได้อย่างคล่องตัว สอดประสานกับงานสาธารณสุข (รมว. สาธารณสุขเป็นรองประธาน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานสสส.)
การตัดออกไปเด็ดขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งถอนรากถอนโคน 2 องค์กรนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ก้าวหน้าโดยแท้
ประการที่สอง การควบคุมการคลังทั้งด้านรายได้และรายจ่ายของภาครัฐให้เป็นระบบนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่เข้าใจกันได้ อย่างไรก็ดีความเพอร์เฟ็กต์ในโลกนี้ไม่มี สิ่งที่ผู้รับผิดชอบด้านการคลังควรกังวลกว่าก็คือประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ เรื่องการเงินของกองทุนหมุนเวียน องค์การมหาชน การกู้ยืมของรัฐบาล การใช้จ่ายของส่วนกลางก้อนใหญ่ที่สามารถมาประดังอยู่ที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ในบางรัฐบาล
ความปรารถนาที่จะเป็นกองทุนที่มี Earmark Tax สนับสนุนกันมากมายตามที่มีผู้เสนอนั้นน่าเป็นห่วง แต่ก็มิได้หมายความว่าสมควรจะห้ามเด็ดขาดไปทั้งหมด โดยเฉพาะให้มีผลย้อนหลังกับสององค์การข้างต้นซึ่งได้ทำหน้าที่ที่มีประโยชน์ในสังคมไทยมาไม่ต่ำกว่ากว่า 7 ปีแล้ว
ทั้งสององค์กรนั้นรวมกันในแต่ละปีมีรายได้จาก Earmark Tax รวมกันประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อปีซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้จากภาษีอากรทั้งหมดคือ 2,670,000 ล้านบาทแล้วก็พอเห็นภาพว่าเล็กน้อยเพียงใด
ถ้าจะให้ความสนใจกันจริง ๆ แล้ว องค์การปกครองท้องถิ่นประมาณ 5,000 แห่งที่ได้รับ Earmark Tax มูลค่านับแสน ๆ ล้านบาทต่อปี ซึ่งแบ่งมาจาก 1 ใน 9 ของภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศ (ซึ่งจัดเก็บอยู่ในอัตราร้อยละ 7) และจัดสรรให้ท้องถิ่นให้เป็นการพิเศษเพิ่มเติมจากภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีบำรุงท้องที่ ฯจัดเก็บเองอยู่แล้ว
การจัดสรรบางส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มให้ท้องถิ่นเป็นการพิเศษนี้โดยแท้จริงแล้วก็เข้าลักษณะ Earmark Tax เช่นกัน อย่างไรก็ดีผู้เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ยกเว้นกรณีของท้องถิ่นเป็นพิเศษ
ประโยชน์ของ Earmark Tax ที่เด่นชัดก็คือ
(ก) เป็นการเอาเงินภาษีที่เก็บจากบางสิ่งกลับไปสู่การใช้ที่พิเศษและต้องการความต่อเนื่องอย่างแน่นอน เช่น ในหลายประเทศมีการเก็บภาษีอากรจากเชื้อเพลิงเพื่อเอาไปสร้างถนน ภาษีขาเข้าที่เก็บได้ของแต่ละภูมิภาคกันไว้เฉพาะสำหรับพัฒนากองทัพจีนของภูมิภาคนั้น ๆ ภาษีที่เก็บจากผลิตภัณฑ์ยาสูบของรัฐวิคตอเรียในออสเตรเลียถูกกันไว้เพื่อการสนับสนุนสุขภาพระหว่าง 1987-1997 (ปัจจุบันหลายรัฐบาลทั่วโลกมี Earmark Tax ในลักษณะนี้) ฯลฯ
(ข) เป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่สาธารณชนว่าโครงการนั้น ๆ ของรัฐบาลมีความจริงจังและต่อเนื่อง
(ค) เป็นหนทางในการรู้ต้นทุนที่แท้จริงของโครงการเนื่องจากรู้รายได้ที่จัดสรรให้ชัดเจน และเห็นผลผลิตและผลลัพธ์ชัดเจน การวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลจึงชัดเจนกว่า
(ง) เป็นเครื่องมือในทางเศรษฐศาสตร์เช่นในการชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ถูกระทบ เช่น ค่าธรรมเนียมเก็บจากเครื่องบินทำเสียงดังเป็นพิเศษและกันไว้กลับไปชดเชยผู้ถูกกระทบ (คล้ายกับภาษีจากยาสูบสู่การสร้างเสริมสุขภาวะ)
ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ใช้ Earmark Tax อย่างกว้างขวางและได้ผล กล่าวคือกฎหมายมีการระบุวัตถุประสงค์พิเศษของการใช้เงินภาษีจากที่เก็บมาได้แก่โครงการ องค์การ ประชาชน ฯลฯ ตัวอย่างเช่นเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อเป็นกองทุนซื้อปืนคืนจากประชาชน ค่าธรรมเนียมพิเศษเรื่องสร้างบริการแพทย์ฉุกเฉินสำหรับประชาชน ค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับระบบการรักษาพยาบาล (Medicare) ค่าธรรมเนียมสำหรับสร้างโครงการพื้นฐาน ฯลฯ ทั้งในระดับท้องถิ่น รัฐ และส่วนกลาง
ตราบที่รายได้จาก Earmark Tax ไม่มากเกินไปในงบประมาณ (เช่น ไม่เกินกว่าร้อยละ 5)แล้วการกำกับควบคุมก็ไม่เป็นปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบังคับให้การเก็บ Earmark Tax ต้องออกเป็นกฎหมาย (ไม่ใช่ประกาศกฎกระทรวง) อย่าลืมว่าค่าธรรมเนียมที่หน่วยงานรัฐจัดการและให้เป็นขององค์กรนั้นแท้จริงแล้วก็คือ Earmark Tax อย่างหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปแล้วค่าธรรมเนียมการศึกษาหรือค่าเล่าเรียนที่มหาวิทยาลัยของรัฐจัดเก็บ(เป็นค่าใช้บริการฃึ่ก็คือภาษีรูปหนึ่ง)และเป็นของมหาวิทยาลัยเองเพื่อวัตถุประสงค์ การศึกษาเป็นการเฉพาะนั้นภายใต้คำจำกัดความนี้อาจเข้าข่ายต้องถูกยกเลิกไปด้วย
กรุณาอย่าได้มัดมือตัวเองอย่างไม่ตั้งใจด้วยการห้าม Earmark Tax โดยเด็ดขาดเลย เพราะจะนำไปสู่ความยุ่งยากในการตีความทางกฎหมาย ความไม่คล่องตัวในการทำงาน และสำหรับ สสส. และ TPBS นั้น ผมว่าเขาทำงานของเขาดีอยู่แล้ว อย่าไปยุ่งกับเขาเลย แทนที่จะทำให้เขาเสียขวัญและเสียกำลังใจ ควรช่วยเขาต่อสู้ทุนนิยมที่พยายามเข้ามาบั่นทอนการทำงานของเขา เราไม่อยากมีสังคมที่มีคนร่างกายแข็งแรง จิตใจดี มีสัมมาอาชีวะ และมีเสรีภาพในการรับสื่อข้อมูลที่เที่ยงธรรมหรือครับ การตรวจสอบประเมินผลกันอย่างเคร่งครัดก็เป็นคนละประเด็นกับการห้ามมี Earmark Tax และการที่มีหลายฝ่ายต้องการตั้งกองทุนมาจาก Earmark Tax จนต้องห้ามเด็ดขาดและย้อนหลังไปใช้กับกองทุนอื่นด้วยก็เป็นอีกคนละประเด็นเช่นเดียวกัน
ประเด็นหลักอยู่ที่ว่าเราจะมีระบบการคลังแบบก้าวหน้าหรือระบบการคลังที่เน้นการควบคุมซึ่งที่ผ่านมาในโลกก็ไม่มีประสิทธิภาพ ยุคสมัยของการควบคุมนั้นหมดไปแล้ว ยุคใหม่ของโลกการคลังคือการควบคุมตนเองอย่างสร้างสรรค์ และมีการตรวจสอบจากภาครัฐอีกระดับหนึ่ง
หมายเหตุ:คอลัมน์ “อาหารสมอง” กรุงเทพธุรกิจ อังคาร 4 ส.ค. 58
อ่านประกอบ : เบื้องหลังแก้รธน.ใหม่ ไม่จ่าย"ภาษีบาป"โดยตรงใส่ทุน "ไทยพีบีเอส-สสส."