สำนักจุฬาฯยกคำสอนท่านนบีฯ ห้ามมุสลิมทำร้ายพระ-เพื่อนต่างศาสนิก
จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดกับพระภิกษุขณะบิณฑบาต ล่าสุดคือลอบวางระเบิดที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เมื่อเช้าตรู่วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม 2558 ทำให้พระมรณภาพ 1 รูป บาดเจ็บ 1 รูป กระทั่งคณะสงฆ์และเครือข่ายชาวไทยพุทธหลายกลุ่มในพื้นที่ออกแถลงการณ์ประณามผู้ก่อเหตุ และเรียกร้องให้องค์กรด้านศาสนาแสดงบทบาทห้ามปรามให้หยุดการกระทำนั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม สำนักจุฬาราชมนตรี ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง "การฆ่าและทำร้ายพระ นักบวช ผู้นำศาสนา ตลอดจนประชาชนผู้บริสุทธิ์" มีสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า ทางสำนักจุฬาราชมนตรีขอประณามผู้กระทำการอันโหดร้ายอย่างไร้มนุษยธรรม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตามที่ได้เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ตลอดเวลาที่ผ่านมาของเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงกรณีที่เกิดขึ้นล่าสุดที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี
สำนักจุฬาราชมนตรี ขอยืนยันในจุดยืนอันเป็นหลักธรรมคำสอนศาสนาอิสลามตามคัมภีร์อัลกุรอาน บทอัลมาอิดะฮ์ โองการที่ 32 ว่า "หากผู้ใดฆ่าผู้บริสุทธิ์แม้เพียงคนเดียว เท่ากับฆ่ามนุษย์ทั้งโลก และหากผู้ใดรักษาชีวิตมนุษย์แม้เพียงคนเดียว เท่ากับรักษาชีวิตมนุษย์ทั้งโลก"
อีกทั้งคำสอนของ ท่านนบีมุฮัมมัด ได้มีการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการห้ามทำร้ายพระและนักบวช รวมทั้งศาสนสถานของทุกศาสนา ตลอดจนห้ามการทำร้ายศพ ห้ามทำร้ายเด็ก สตรี คนชรา และประชาชนผู้บริสุทธิ์
ท่านนบีมุฮัมมัด ถึงกับกล่าวว่า "ฉันคือศัตรูกับใครก็ตามที่ทำร้ายเพื่อนต่างศาสนิกให้ได้รับบาดเจ็บ และหากฉันเป็นศัตรูกับใครแล้ว ฉันจะไปยืนยันสิ่งนั้นต่อพระผู้เป็นเจ้าในวันพิพากษา" และท่านนบี ยังกล่าวอีกว่า "ผู้ใดทำร้ายคนที่ไม่ใช่มุสลิม เท่ากับทำร้ายฉัน และผู้ใดที่ทำร้ายฉัน ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับพระผู้เป็นเจ้า"
ดังนั้นสำนักจุฬาราชมนตรีจึงขอเรียกร้องให้ผู้นำและประชาคมมุสลิมทั่วประเทศ ปฏิบัติดังนี้
1.ตระหนักและยืนหยัดในคำสอนอันเป็นแก่นของศาสนาอิสลามดังกล่าว เพื่อการอยู่ร่วมกับเพื่อนต่างศาสนิกอย่างสันติ และเนื่องจากอิสลามเป็นศาสนาที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดในเรื่องความรัก ความเมตตา ควบคู่กับความยุติธรรม ดังนั้นมุสลิมจำเป็นต้องอำนวยความยุติธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ ถึงแม้ว่าในบางสถานการณ์ที่ชาวมุสลิมอาจถูกทดสอบจากการกระทำที่ไร้ความยุติธรรม แต่อิสลามกลับสอนให้มุสลิมตอบแทนความอธรรมด้วยความดีงามบนพื้นฐานของความยุติธรรม (อัลกุรอาน บทอัลมาอิดะฮ์ โองการที่ 8)
2.แสวงหาแนวทางความร่วมมือกันกับเพื่อต่างศาสนิกในชุมชน เพื่อช่วยกันปกป้องภัยที่คุกคามชีวิตและทรัพย์สินของคนในชุมชนทุกศาสนา ดังปรากฏแบบอย่างอันงดงามในธรรมนุญมะดีนะฮ์สมัยท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องช่วยกันยับยั้งการมุ่งทำลายประชาชนผู้บริสุทธิ์ พระ นักบวช เด็ก สตรี และการทำลายศาสนสถาน
3.ขอจงช่วยกันให้กำลังใจและให้ความช่วยเหลือต่อเหยื่อของเหตุการณ์ความรุนแรงในทุกศาสนิก ตลอดจนช่วยกันขอพรจากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) เพื่อให้เกิดความสันติในทุกๆ พื้นที่โดยเร็ว
ด้านความคืบหน้ามาตรการรักษาความปลอดภัยพระสงฆ์ขณะออกบิณฑบาต หลังจากเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพคัดค้านการสั่งห้ามพระออกบิณฑบาต พร้อมเรียกร้องให้คืนวิถีคนพุทธให้สามารถปฏิบัติศาสนกิจและทำนุบำรุงศาสนาได้ตามปกตินั้น
ในส่วนของจังหวัดนราธิวาส ฝ่ายทหารยังคงยืนยันขอความร่วมมือกับเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าอาวาสวัด เพื่อให้พระงดออกบิณฑบาตในช่วงนี้ โดยเฉพาะตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม จนไปถึงปลายสัปดาห์ที่จะเป็นวันเข้าพรรษา ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและลดโอกาสการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ซึ่งทางเจ้าคณะจังหวัดนราธิวาสก็เห็นชอบด้วยตามที่ฝ่ายทหารเสนอ