ผอ.กรีนพีซแนะรัฐฟังเสียงภาคปชช.ก่อนเดินหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ผู้อำนวยการรณรงค์กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชี้รัฐบาลจะเสียใจหากไม่ฟังเสียงประชาชน ด้านศ.รพี สาคริกทำหนังสือด่วนถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเร่งตอบรับคำร้องปชช.ให้เร็วที่สุด
หลังจากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาสั่งเดินหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดกระบี่ เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินได้แสดงจุดยืนคัดค้านปักหลักอยู่หน้ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและอดอาหารเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย ก่อนจะเดินเท้าจากกระทรวงการท่องเที่ยวฯไปทำเนียบรัฐบาลเพื่อปักหลักรอฟังคำตอบจากรัฐบาลพร้อมออกแถลงการณ์ฉบับที่ 8 ให้ยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2558
นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการรณรงค์กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวกับสำนักข่าวอิศราว่า ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2543 จนถึงปัจจุบัน ประเทศอเมริกามีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินลดลง 10% ที่สำคัญคือไม่มีโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่เกิดขึ้นแม้จะมีแผนที่จะสร้างก็ตาม ปัจจัยในการลดลงของโรงไฟฟ้าถ่านหินในอเมริกาเกิดจากกระบวนการภาคประชาชนมีการเคลื่อนไหวเจรจาต่อรอง รวมถึงปัญหาสภาวะเรือนกระจกที่เกิดขึ้น เนื่องจากโรงไฟฟ้าถ่านหินจะมีคาร์บอนมากสุดและสร้างมลพิษตั้งแต่โรงไฟฟ้าถ่านหินโรงแรกเกิดขึ้น นอกจากนี้ที่อเมริกาเองกรมควบคุมมลพิษมีมาตรการควบคุมปกป้องและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดมีการลงโทษผู้กระทำผิด แรงกดดันจากภาคประชาชนจึงเป็นปัจจัยที่ชะลอและมีการยุติการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินไปในที่สุด
นายธารา กล่าว ถึงการขับเคลื่อนและความเข้มแข็งของภาคประชาชนในไทยว่า หากดูตั้งแต่สมัยที่มีการต่อสู้เรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์จะเห็นว่าชาวบ้านเข้มแข็งมากจนนำไปสู่การตัดสินใจยุติหรือเปลี่ยนที่ตั้งของโรงไฟฟ้าใหม่ในรัฐบาลชุดนั้น ส่วนกรณีการขับเคลื่อนของเครือข่ายปกป้องอันดามันนั้นยังไม่ตายตัว จะเห็นว่าบางครั้งมีกระแสในสังคมสูง แต่บางครั้งก็หายไป อย่างไรก็ตามมองว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จแม้จะมีจำนวนคนไม่มากออกมากดดันและคานอำนาจรัฐบาลภายใต้เงื่อนไขพิเศษที่ไม่ปกติ เพราะการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ที่แม่เมาะ หรือมาบตาพุด ภาคธุรกิจไม่เคยเข้าร่วม
“หากการเรียกร้องครั้งนี้รัฐบาลไม่ฟังเสียงของคนเหล่านี้ทั้งผู้ประกอบการ กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวที่รวมตัวกัน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเคลื่อนไหว คงเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ การที่จะฟังเสียงไม่เกี่ยวกับจำนวนคนมากหรือน้อย แต่ต้องฟังว่าคนเหล่านี้เป็นตัวแทนจากไหนบ้างและจะเก็บทะเลอันดามันไว้ในรูปแบบใด”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 20 กรกฎาคม 2558 มีหนังถึงด่วนที่สุดจากศาสตราจารย์ระพี สาคริก ถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้ทบทวนโครงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินจ.กระบี่และโปรดรับฟังข้อเสนอตามสาระในแถลงการณ์ของชาวจังหวัดกระบี่ โดยมีรายละเอียดดังนี้
จากการที่มีประชาชนนั่งอดอาหารเป็นเวลายาวนานกว่า 10 วัน เพื่อเรียกร้องรัฐบาลด้วยวิธีการที่สุภาพและสันติเพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนโครงการสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน และหวังให้นายกรัฐมนตรีตอบรับคำร้องขอโดยเร่งด่วนพร้อมตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อทบทวนโครงการ โดยโปรดเว้นผู้มีส่วนในการเสนอและผลักดันโครงการให้เกิดความโปร่งใสรวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้คัดค้านสามารถนำเสนอความจริงและแนวคิดของเขาได้ด้วย นอกจากนี้มีข้อเท็จจริงที่ควรนำมาพิจารณาอย่างน้อย 5 ข้อ
1.ชาวจังหวัดกระบี่มีศักยภาพที่จะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้เกินความต้องการของจังหวัด
2.มีรายงานสถิติการท่องเที่ยวชัดเจนว่า พ.ศ. 2556 มีจำนวนนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกระบี่ 14% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดและมาด้วยความพอใจในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
3.มีรายงานชัดเจนว่าผลจากการใช้ถ่านหินเป็นวัตถุดิบผลิตกระแสไฟฟ้าก่อให้เกิดการปนเปื้อนโลหะหนักหรือสารพิษในสิ่งแวดล้อม
4.พบเอกสารของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีการจ้างเพื่อหาวัตถุดิบชนิดเดียวกันและใช้จ่ายงบประมาณซ้ำซ้อน
5.มีความพยายามเปิดให้มีการยื่นประมูลการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ขณะที่รายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพยังไม่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง
ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ผู้จัดการ