ศ.ประเสริฐ ณ นคร แนะยึดมติสภามหาวิทยาลัย คลายปมอธิการบดี มก. พ้นสุญญากาศ
"มติของสภามหาวิทยาลัยคือคำแนะนำที่ต้องทูลเกล้าฯ ถวายให้พระมหากษัตริย์ให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยและมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งต่อไป"
กรณีปัญหาการโปรดเกล้าฯอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ที่ยังคงค้างคามานานกว่า 9 เดือนในขณะนี้ ทำให้เกิดสุญญากาศในการบริหารมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในห้วงเวลาการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐด้วยแล้ว ยิ่งถือว่า น่าเป็นห่วงเป็นใยอย่างที่สุดก็ว่าได้
ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร อดีตปลัดทบวงมหาวิทยาลัย และอดีตนายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ออกโรงแนะ และทำความเข้าใจกับสังคมไทยว่า สภามหาวิทยาลัยถือเป็นตัวแทน “เจ้าของ” มากำกับดูแล (Governance) มหาวิทยาลัย และยังเป็นหน่วยงานสูงสุดของมหาวิทยาลัยที่รับผิดชอบความสำเร็จ/ความล้มเหลวของมหาวิทยาลัย
แต่บทบาทที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้นึกถึงคือ การเชื่อมโยงมหาวิทยาลัยกับสังคม ชี้นำสังคม และต้องไม่ปล่อยให้มหาวิทยาลัยเคว้งคว้างอย่างไร้ทิศทาง
ดังนั้น โดยนัยนี้ จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า มติของสภามหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตามย่อมถือเป็นบทสรุปอันเป็นที่สิ้นสุด อย่างเช่น การเสนอชื่อบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งทางวิชาการระดับ “ศาสตราจารย์” นั้น พระมหากษัตริย์จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งศาสตราจารย์โดยคำแนะนำของสภามหาวิทยาลัย ในกรณีตำแหน่งของฝ่ายบริหารอย่างอธิการบดีก็เช่นกัน
พ.ร.บ. ทุกยุคทุกสมัยกำหนดไว้ชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยคำแนะนำของสภามหาวิทยาลัยจากผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่า สภามหาวิทยาลัยย่อมจัดให้มีกระบวนการสรรหาภายใต้หลักธรรมาภิบาลและต้องสรุปออกมาเป็นมติสภามหาวิทยาลัยที่ชัดเจนอยู่แล้ว นั่นเท่ากับว่า มติของสภามหาวิทยาลัยคือคำแนะนำที่ต้องทูลเกล้าฯ ถวายให้พระมหากษัตริย์ให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยและมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งต่อไป ซึ่งเป็นไปตามจารีตของสังคมไทยที่ยึดถือกันมาอย่างยาวนาน
“หน่วยงานต่างๆ ที่อยู่หลังจากมติสภามหาวิทยาลัยไปแล้วนั้นถือว่าพ้นหน้าที่ในอันที่จะหน่วงการถวายคำแนะนำให้เกิดความล่าช้าและเกิดผลเสียต่อราชการแผ่นดินโดยไร้เหตุ อันควร หรือขาดหลักการทางกฎหมายรองรับ
นี่คือ บทบาทที่สภามหาวิทยาลัยจะต้องนำสังคมให้มุ่งสู่ทิศทางที่ถูกที่ควรและเหมาะสมกับสถานการณ์ให้ได้ แม้ว่าจะมีแรงเสียดทานจากปัจจัยภายนอกก็ตาม”
ในยุคโลกาภิวัตน์และห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐเช่นนี้ ความขลุกขลักล้าช้าแม้แต่วินาทีเดียวอาจทำให้เสียโอกาสต่างๆ มากมาย ยิ่งการศึกษาระดับอุดมศึกษาด้วยแล้ว ถือเป็นปลายทางในการสร้างคนเก่งคนดีออกสู่สังคม ประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้าได้ก็ต้องอาศัยคนเหล่านี้เอง การนำการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์มาพัวพันกับการศึกษามากเกินไปและกลายเป็นปมปัญหาที่ทำท่าจะไม่มีทางออก จะยิ่งทำให้การศึกษาไทยถอยหลังลงคลองมากขึ้น ในขณะที่ประเทศที่มีมหาวิทยาลัยทีหลังเรากลับเจริญก้าวหน้ากว่าเราเสียด้วยซ้ำไป
ในท้ายที่สุด ศาสตราจารย์ประเสริฐ ย้ำอีกว่า ในเมื่อกฎหมายก็กำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่า สภามหาวิทยาลัยมีหน้าที่ลงมติใดๆ ในฐานะตัวแทน “เจ้าของ” มหาวิทยาลัย ก็ควรจะกลับไปยึดถือตามมตินั้น เพื่อให้ปัญหาต่างๆ มีทางออก (ไม่ใช่ ทุกทางออกมีปัญหาหมด หรือมุ่งใช้ความรู้สึก/อัธยาศัยเป็นหลัก) และมหาวิทยาลัยก็สามารถบริหารราชการต่อไปได้
"อันที่จริงแล้ว เราไม่ควรย่อประเทศไทยมาไว้ในมหาวิทยาลัย ถ้ามหาวิทยาลัยผ่านพ้นช่วงเวลาอย่างนี้ไปได้ ผนวกกับการก้าวสู่มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐอย่างสมบูรณ์แบบ คุณประโยชน์ทั้งหมดปวงจะตกอยู่ที่ใคร ?
คำตอบ คือ เยาวชนและสังคมไทย นั่นเอง ทุกภาคส่วนคงจะต้องร่วมด้วยช่วยกัน เพราะเจ้าของมหาวิทยาลัยที่แท้จริงก็คือประชาชนชาวไทย ไม่ใช่ใครอื่น"
*หมายเหตุ* สำนักข่าวอิศราโทรศัพท์สัมภาษณ์ศ.ประเสริฐ ณ นคร ซึ่งดร.ประเสริฐ ยืนยันว่า การออกมาพูดครั้งนี้ต้องการที่จะเน้นย้ำว่าเป็นเรื่องภายในของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และคนนอกไม่ควรเข้ามายุ่ง เนื่องจากการบริหารงานใดๆของมหาวิทยาลัยควรจบที่มติของสภา หากปล่อยให้คนนอกมาคัดค้านต่อไปการบริหารงานก็จะยุ่งยาก เถียงกันต้องเป็นการเถียงกันภายในให้จบ
"ผมอยู่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มานาน ตั้งแต่เป็นวิทยาลัย และตอนนี้ก็ยังสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์"