ส.พระปกเกล้าโดนแล้ว65.04ล.!รบ.เร่หางบส่วนเกิน3.2หมื่นล.ขับเคลื่อนปท.1 ปี
เริ่มแล้ว! ปฏิบัติการ ก.คลัง เรียกเงินกองทุนส่วนเกินคืน 30 ทุน วงเงิน 3.2 หมื่นล้าน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์สนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ตามนโยบายรัฐบาล ประเดิมที่ "สถาบันพระปกเกล้า" โดน 65.04 ล้าน "กฤษฎีกา" ชี้ขาดทำได้ตามกรอบอำนาจกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ในช่วงเดือนพ.ค. 2558 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตอบความเห็นทางกฎหมายกรณีสถาบันพระปกเกล้า ถูกกระทรวงการคลังเรียกเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาและเผยแพร่ประชาธิปไตยของสถาบันพระปกเกล้า จำนวน 65 .04 ล้านบาท คืน
โดยการเรียกเงินกองทุนคืนดังกล่าว เป็นการปฏิบัติตามตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2558 ที่รับทราบแนวทางการปรับปรุง พัฒนา หรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน ข้อมูลกรอบวงเงินงบประมาณดำเนินงานวิจัยของทุนหมุนเวียนและสภาพคล่องของทุนหมุนเวียนทั้งหมด และให้กระทรวงการคลังจัดทำแผนปฏิบัติการที่จะนำทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็น จำนวน 30 ทุน เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 32,708 ล้านบาท ไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในช่วงระยะเวลา 1 ปี
ขณะที่กองทุนเพื่อการพัฒนาและเผยแพร่ประชาธิปไตยของสถาบันพระปกเกล้า ถูกระบุชื่อเป็นหนึ่งในกองทุนหมุนเวียนดังกล่าว ซึ่งกระทรวงการคลัง เรียกให้นำส่งเงินที่มีสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็น เป็นเงินจำนวน 321.60 ล้านบาท ก่อนที่จะมีการแก้ไขตัวเลขเป็น 65.04 ล้านบาท ในภายหลัง
โดยสถาบันพระปกเกล้า ได้ขอหารือต่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่ามติครม. และการใช้อำนาจของกระทรวงการคลังที่กำหนดให้สถาบันฯ นำส่งเงินทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็น เข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 1 นั้น สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และสถาบันฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดประธานรัฐสภา ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมีกฎหมายเฉพาะกำหนดไว้เป็นพิเศษ จะต้องดำเนินการตามมติครม. ตามข้อเสนอกระทรวงการคลังซึ่งเป็นฝ่ายบริหารหรือไม่
เบื้องต้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง และมีความเห็นว่า การดำเนินการของกระทรวงการคลังเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และหน่วยงานรัฐมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามข้อบังคับที่กระทรวงการคลังออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 13 แห่ง พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ.2491 เนื่องจากเห็นว่ากองทุนดังกล่าวเป็นทุนหมุนเวียนตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง
ขณะที่การเรียกส่งเงินเข้าบัญชีคงคลังบัญชีที่ 1 มิใช่เป็นการดำเนินการตามมติครม. หากแต่เป็นการดำเนินการตามอำนาจที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ครม.เพียงแค่รับทราบมติเท่านั้น จึงมิใช่เป็นการใช้อำนาจก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติแต่ประการใด
อย่างไรก็ตาม หากสถาบันฯ มีความจำเป็นต้องใช้เงินที่ถูกเรียก หรือเห็นว่าการคำนวณของกรมบัญชีกลางยังคลาดเคลื่อนอย่างใด ก็เป็นเรื่องที่สถาบันฯ จะทำความตกลงกับกระทรวงการคลังต่อไปได้