4 องค์กรสื่อ เสนอแก้รธน.ว่าด้วยองค์กรวิชาชีพ-การจัดสรรคลื่น
หมายเหตุ: 4 องค์กรสื่อ ประกอบด้วย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ยื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติ เสนอขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับองค์กรวิชาชีพในการกำกับดูแลสื่อมวลชน และการจัดสรรคลื่นความถี่ในกิจการคลื่นวิทยุกระจายเสียง โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
ตามที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยขึ้น และได้นำเสนอต่อสภาปฏิรูปเพื่อพิจารณา นั้น องค์กรสื่อมวลชนทั้ง ๔ องค์กร ประกอบด้วย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้ร่วมกันพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว เห็นควรให้มีข้อเสนอแนะเพื่อให้มีการพิจารณาทบทวนเพื่อให้มีการแก้ไขปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังกล่าว โดยมีหลักการและเหตุผลในประเด็นสำคัญต่างๆ ดังนี้ คือ
1. มาตรา 49 วรรคสี่ ที่บัญญัติว่า
“ให้มีกฎหมายว่าด้วยองค์การวิชาชีพสื่อมวลชนซึ่งประกอบด้วยบุคคลในวิชาชีพสื่อมวลชนและ
ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งผู้แทนองค์การเอกชนและผู้บริโภค เพื่อปกป้องเสรีภาพและความเป็นอิสระของสื่อมวลชนตามมาตรา48 ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานแห่งวิชาชีพ พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมของผู้ซึ่งได้รับผลกระทบจากการใช้เสรีภาพตามมาตรา 48 และคุ้มครองสวัสดิการของบุคคลตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง” นั้น
เห็นสมควรเสนอขอให้มีการแก้ไขเป็นดังนี้
“ให้มีกฎหมายว่าด้วยองค์การวิชาชีพสื่อมวลชนซึ่งประกอบด้วย บุคคลในวิชาชีพสื่อมวลชนและผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งผู้แทนองค์การเอกชนและผู้บริโภค เพื่อปกป้องเสรีภาพและความเป็นอิสระของสื่อมวลชนตามมาตรา ๔๘ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานและความรับผิดชอบแห่งวิชาชีพ พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมของผู้ซึ่งได้รับผลกระทบจากการใช้เสรีภาพตามมาตรา ๔๘ และคุ้มครองสวัสดิการภาพของบุคคลตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง”
โดยมีหลักการและเหตุผลคือ เพื่อให้ข้อความสั้นมีความกระชับแต่มีความหมายที่ครอบคลุมตามเจตนารมณ์ของการยกร่างเดิม โดยไม่เปิดโอกาสให้มีการตีความหมายในขั้นตอนการออกกฎหมายลำดับรองไปในทิศทางที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมากจนเกินหลักความจำเป็นและหลักการได้สัดส่วน
นอกจากนี้เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการแทรกแซงหรือการครอบงำการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนภายหลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว จึงไม่ควรกำหนดให้สื่อได้รับการ “คุ้มครองสวัสดิการ” ซึ่งเป็นการสร้างภาระหน้าที่ให้แก่รัฐในการต้องจัดหาหรือจัดให้มีสวัสดิการแก่ผู้ประกอบวิชาชีพหรืออาชีพสื่อขึ้นเป็นการ “พิเศษ” ที่แตกต่างจากวิชาชีพหรืออาชีพอื่น
ในทำนองกลับกัน คำว่า “สวัสดิภาพ” ของผู้ประกอบวิชาชีพหรืออาชีพสื่อกลับเป็นคำที่มีความหมายต่อการทำหน้าที่สื่อมวลชนมากกว่า เพราะสมควรเป็นภาระหน้าที่ของรัฐที่ต้องให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองสวัสดิภาพซึ่งหมายถึง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน (ซึ่งอาจหมายความรวมถึงการได้รับการคุ้มครองหรือความปลอดภัยทางด้านการคิดหรือการแสดงออกในลักษณะต่างๆ ที่ชอบด้วยกฎหมาย) เพราะเมื่อสื่อได้รับความคุ้มครองสวัสดิภาพหรือความปลอดภัยแล้ว จะส่งผลให้สื่อมวลชนสามารถบรรลุเป้าหมายของการปฏิบัติหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนได้ครบถ้วนสมบูรณ์มาก อันจะนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดของประชาชนได้ในที่สุด
อนึ่ง ในกรณีที่จะมีการจัดทำกฎหมายว่าด้วยองค์การวิชาชีพสื่อมวลชนตามบทบัญญัติของร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้ต่อไปในอนาคตนั้น องค์กรสื่อทั้ง 4 องค์กร มีข้อเสนอแนะดังนี้
แนวคิดการออกแบบกลไกเพื่อการกำกับดูแลสื่อมวลชน จำเป็นต้องตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานที่จะต้องรักษาความสมดุลระหว่าง เสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชนควบคู่ไปกับเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนประการหนึ่ง และหลักของการใช้เสรีภาพบนความรับผิดชอบที่สื่อมวลชนพึงมีต่อประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญอีกประการหนึ่ง
การกำกับดูแลสื่อมวลชนของไทยได้เกิดขึ้นและมีพัฒนาการอยู่ในสังคมไทยมาแล้วในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การนำเสนอข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและการกำกับดูแลจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องประมวลแนวคิดสถานการณ์แวดล้อมและบริบทต่างๆ ในด้านการส่งเสริมและการกำกับดูแลสื่อมวลชนที่เกิดขึ้นมาแล้วและทิศทางที่กำลังดำเนินไปทั้งในประเทศไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลก มาปรับใช้ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและสามารถนำไปเชื่อมต่อกับอนาคตได้
2. มาตรา 50 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า
“ให้มีองค์การของรัฐที่เป็นอิสระองค์กรหนึ่งทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ตามวรรคหนึ่งและกำกับ การประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมและกิจการสารสนเทศ โดยต้องคำนึงถึงความมั่นคงของรัฐ ประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติ ระดับท้องถิ่น คำนึงถึงบุคคลด้อยโอกาส ทั้งในด้านการศึกษา วัฒนธรรม และประโยชน์สาธารณะอื่น รวมทั้งต้องจัดให้ภาคประชาชนและชุมชนท้องถิ่นสามารถเข้าถึง และมีส่วนร่วมในการดำเนินการสื่อมวลชนสาธารณะ ทั้งนี้ภายใต้ยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาของชาติ และตามที่กฎหมายบัญญัติ”
เห็นสมควรเสนอขอให้มีการแก้ไขเป็นดังนี้
“ให้มีองค์การของรัฐที่เป็นอิสระองค์กรหนึ่งทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ตามวรรคหนึ่งและกำกับการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมและกิจการสารสนเทศ โดยต้องคำนึงถึงความมั่นคงของรัฐ ประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติ ระดับท้องถิ่น คำนึงถึงบุคคลด้อยโอกาส ทั้งในด้านการศึกษา วัฒนธรรม และประโยชน์สาธารณะอื่น รวมทั้งต้องจัดให้ภาคประชาชนและชุมชนท้องถิ่นสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการดำเนินการสื่อมวลชนสาธารณะทั้งนี้ภายใต้ยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาของชาติและตามที่กฎหมายบัญญัติ”
โดยมีหลักการและเหตุผลคือ เมื่อร่างรัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์บัญญัติให้มีองค์การของรัฐที่เป็นอิสระเพื่อทำหน้าที่ในการจัดสรรคลื่นความถี่แล้ว บทบาทหน้าที่หลักขององค์กรนี้จะต้องมีความชัดเจนว่าจะต้องหมายถึงบทบาทหน้าที่ใน 3 ระดับ ได้แก่ การจัดสรรคลื่นความถี่ (Frequency Allocation) การจัดแบ่งคลื่นความถี่ (Frequency Allotment) และการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ (Frequency Assignment)
การนำเอาถ้อยคำ “ทั้งนี้ภายใต้ยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาของชาติและตามที่กฎหมายกำหนด” มาบัญญัติเป็นถ้อยคำต่อท้ายไว้ในวรรคดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดการตีความไปในทิศทางที่ส่งผลทำให้องค์การของรัฐองค์การนี้กลายเป็นองค์การที่ไม่มีความเป็นอิสระได้ในที่สุด เพราะกระบวนการจัดทำ “ยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาของชาติ” มักตกอยู่ภายใต้กลุ่มผู้มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งหมายถึงกลุ่มอำนาจทางการเมือง และอาจถูกแทรกแซงจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ อันจะทำให้ขัดต่อหลักความเป็นอิสระได้ในที่สุด และไม่ว่าจะมีการบัญญัติคำว่า “และตามที่กฎหมายบัญญัติ” หรือไม่ก็ตาม บทบาทหน้าที่ขององค์การอิสระองค์กรนี้ก็ย่อมต้องได้รับการกำหนดไว้โดยกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติอยู่แล้ว การบัญญัติถ้อยคำ “ทั้งนี้ภายใต้ยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาของชาติและตามที่กฎหมายกำหนด” อาจส่งผลให้เกิดการตีความเจตนารมณ์เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายไปในลักษณะอื่นที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงได้ในที่สุด
องค์กรสื่อทั้ง 4 องค์กร หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อเสนอแนะเพื่อให้มีการพิจารณาทบทวนเพื่อให้มีการแก้ไขปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามหลักการและเหตุผลในประเด็นสำคัญต่างๆ ที่ได้เสนอมาข้างต้นนี้ จะได้รับความสำคัญและได้รับการพิจารณาบรรจุเข้าสู่วาระการแปรญัตติของ คณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาปฏิรูปแห่งชาติ อันจะนำไปสู่การแก้ไขปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ในที่สุดต่อไป
อนึ่ง เนื่องจากการจัดทำกฎหมายว่าด้วยองค์การวิชาชีพสื่อมวลชนตามบทบัญญัติของร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน องค์กรสื่อทั้ง 4 องค์กรหวังในความกรุณาว่าอยากให้มีการประสานงานและเปิดเผยหลักการ แนวคิดที่จะนำมาหรือนำมาบรรจุไว้เพื่อสื่อสารทำให้เกิดความเข้าใจอันดีและเกิดความรอบคอบร่วมกันต่อไป