ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ถูกที่...ให้ถูกทาง
ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ถูกที่...ให้ถูกทาง: เพิ่มการลดหย่อนภาษีเพื่อการลงทุนแบบชั่วคราว
ปัจจุบัน ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้เกิดความวิตกกังวล มีการเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาโดยการกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วน นโยบายที่มีการหยิบยกขึ้นมาก็เกรงว่าจะซ้ำรอยโครงการประชานิยมที่เน้นการกระตุ้นการบริโภคแค่เพียงระยะสั้น ถึงแม้ว่าเราจะต้องการมาตรการที่เห็นผลในระยะสั้น แต่ผลควรจะต้องช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะยาวด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากจะดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก็ควรจะทำให้ถูกที่ และถูกวิธีโดยการเน้นไปที่กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนผ่านมาตรการเพิ่มการลดหย่อนภาษีเพื่อการลงทุนแบบชั่วคราว
ทำให้ถูกที่
ตัวขับเคลื่อนปกติของเศรษฐกิจไทยไม่ทำงาน เพราะติดข้อจำกัด เช่น การบริโภคก็ถูกปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำและหนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นตัวจำกัด การเบิกจ่ายภาครัฐประสบปัญหาล่าช้าโดยเฉพาะงบลงทุน การใช้นโยบายการเงินก็ให้ผลที่จำกัด ส่วนการส่งออก ก็ยังไม่ฟื้น ด้านหนึ่งที่ยังไปได้ค่อนข้างดีก็คือการท่องเที่ยว แต่ก็เป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนเป็นหลัก
ตัวขับเคลื่อนที่เหลืออยู่ตอนนี้ คือ การลงทุนภาคเอกชน ถึงแม้ว่าจะยังมีข้อจำกัดอยู่มาก แต่ก็เป็นตัวเดียวที่พอจะตอบโจทย์และยังพอมีศักยภาพอยู่บ้างด้วย 4 เหตุผล คือ
หนึ่ง การลงทุนภาคเอกชนจะเป็นผลดีทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ต่างจากการกระตุ้นโดยใช้โครงการประชานิยมที่เน้นกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น แต่ไม่ส่งผลดีในระยะยาว
สอง เราต้องการการลงทุน ที่ผ่านมา ไทยเป็นประเทศเดียวในบรรดาประเทศที่ประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ที่ตัวเลขการลงทุนแท้จริง (หลังหักเงินเฟ้อ) ในปัจจุบันคิดเป็น 84% ของระดับเมื่อก่อนเกิดวิกฤต
สาม การลงทุนจะช่วยให้ค่าเงินบาทไม่แข็งค่าไปกว่านี้ เพราะจะช่วยลดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด
สี่ สถานการณ์ตอนนี้เอื้อต่อการลงทุนในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นสถานะการเงินของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่ยังแข็งแกร่ง มีความสามารถที่จะกู้เพื่อลงทุนได้ สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ที่ยังสูงอยู่ อัตราดอกเบี้ยต่ำ และต้นทุนนำเข้าสินค้าทุนที่ต่ำลงจากค่าเงินยูโรและเยนที่อ่อนค่า
แต่การลงทุนกลับไม่เกิด เพราะภาคธุรกิจยังอยู่ในช่วงที่ “รอ” เช่น กลุ่มพลังงานยังคงรอความชัดเจนของนโยบายภาครัฐ กลุ่มธุรกิจก่อสร้าง และขนส่งกำลังรอการประมูลเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มค้าปลีก และยานยนต์ ยังคงรอเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว ส่วนกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ที่เพิ่งจะลงทุนไปไม่นานก็กำลังรอให้ถึงรอบการลงทุนถัดไป
แล้วจะทำอย่างไรให้เอกชนเลิกรอ?
ทำให้ถูกทาง
ใช้ยาแรงอย่างมาตรการเพิ่มการลดหย่อนภาษีเพื่อการลงทุนชั่วคราว (Temporary Investment Tax Allowance) ที่ให้นำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าทุน เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์และสิ่งปลูกสร้างมาหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อยกเว้นภาษีเงินได้ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยแบ่งเป็น 2 วิธี หนึ่งคือให้นำค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนมาหักจากกำไรได้ตามสัดส่วน ในปีที่มีการลงทุน หรือหักเป็นค่าเสื่อมราคาในอัตราเร่ง (Accelerated Depreciation) คือการคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราสูงในปีแรกๆ ทั้งสองวิธีจะทำให้ฐานรายได้ที่นำไปคำนวณเป็นภาษีลดลง เท่ากับว่าเอกชนมีภาระภาษีลดลง เป็นการลดต้นทุนการลงทุนของเอกชน ซึ่งหมายถึงผลตอบแทนจากการลงทุนก็จะเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้การประกาศมาตรการแบบชั่วคราวจะช่วยเลื่อนการลงทุนในอนาคตให้เกิดขึ้นเร็วขึ้นอีกด้วย
การกระตุ้นการลงทุนโดยมาตรการเพิ่มการลดหย่อนภาษีเพื่อการลงทุนชั่วคราวนั้นมีข้อดีอย่างน้อย 3 ข้อ คือ
หนึ่ง ทำได้เร็ว เพราะการใช้มาตรการทางภาษีจะทำได้เร็วกว่าการกระตุ้นผ่านรายจ่ายภาครัฐ และยังสามารถผ่านกฎหมายโดยการตราพระราชกฤษฎีกาซึ่งใช้ระยะเวลาน้อยกว่า
สอง ภาระน้อย การใช้มาตรการชั่วคราวโดยกำหนดว่าการลงทุนจะสามารถลดหย่อนได้ภายในระยะเวลาจำกัด (เช่น 18 เดือน) นอกจากจะเร่งให้เกิดการลงทุนได้ในระยะสั้นแล้วยังไม่ตกเป็นภาระการคลังในระยะยาว
สาม ความเสี่ยงต่ำ ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่ามาตรการนี้จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน แต่ข้อดีคือมีความเสี่ยงต่ำ เพราะในกรณีที่มาตรการนี้ไม่ได้ผลแสดงว่าไม่มีภาคเอกชนขอยื่นใช้สิทธิ์ ซึ่งเท่ากับว่าภาครัฐก็ไม่ได้เสียอะไรเลย หรือถ้ามีเอกชนขอใช้สิทธิ์เข้ามามาก ก็หมายความว่าเกิดการลงทุนมากขึ้น ผลที่ตามมาคือเศรษฐกิจก็จะดีขึ้น รายได้ภาษีโดยรวมก็จะสูงขึ้นด้วย
แต่ถ้าจะให้มาตรการนี้ได้ผลเต็มที่ควรทำให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนระดับชาติ เพื่อให้สามารถระบุอุปสรรคและแก้ปัญหาในแต่ละภาคเศรษฐกิจให้ได้ว่าเกิดจากอะไร เป็นเพราะนโยบายของภาครัฐเองหรือไม่ หรือเป็นเพราะขาดการสนับสนุนด้านอื่นๆ เช่น จัดหาเงินทุน เป็นต้น ที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกแผนลงทุนมากมาย ทั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ โครงสร้างพื้นฐานระบบราง โทรคมนาคม สนามบิน ถนนและทางด่วน ทั้งที่รัฐลงทุนเอง และร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (PPP) รวมทั้งได้ออกมาตรการหลากหลายเพื่อสนับสนุนการลงทุนเช่น สิทธิประโยชน์จากบีโอไอ มาตรการด้านภาษีจาก สรรพากร และศุลกากร แต่ก็กระจัดกระจาย และขาดเอกภาพ และการบูรณาการในการจัดการ
และเพื่อให้แผนการลงทุนระดับชาติมีประสิทธิผลเต็มที่ ต้องระบุรายละเอียดชัดเจนว่าประชาชนจะเห็นการอะไรในอีก 3 เดือน 6 เดือน และต้องทำตามนั้นจริงๆ เพราะว่าการทำแบบนี้จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดที่จะให้การลงทุนเกิดขึ้น
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : มูลนิธิสถาบันอนาคตไทยศึกษา