เครือข่ายสตรีศรีสยาม จี้บิ๊กตู่ ใช้ม.44 อายัดทรัพย์จำนำข้าว
เครือข่ายสตรีศรีสยาม จี้คสช.เร่งดำเนินการอายัดทรัพย์คดีรับจำนำข้าว หวั่นปล่อยนานจะมีการโยกย้ายถ่ายโอน/ปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์
วันที่ 25 เมษายน 2558 เครือข่ายสตรีศรีสยาม (Woman Thailand) นำโดย นางพัชรายุ โล่ชนะชัย เลขานุการเครือข่ายสตรีศรีสยาม (Woman Thailand) จัดแถลงข่าวเรื่อง การดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกคืนค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือแห่งประเทศไทย
พร้อมออกแถลงการณ์เครือข่ายสตรีศรีสยาม โดยขอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 สั่งอายัดทรัพย์กลุ่มบุคคลผู้รับผิดชอบและเชื่อว่า มีส่วนได้รับประโยชน์โดยมิชอบจากโครงการจำนำข้าว
ตามที่ เครือข่ายสตรีศรีสยาม ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง(นายสมหมาย ภาษี) เรื่อง ขอให้ดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากกลุ่มบุคคลผู้รับผิดชอบและ/หรือเกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่สร้างความเสียหายแก้รัฐจำนวนมหาศาล ทั้งมีมูลน่าเชื่อว่ามีการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างเป็นขบวนการ เพื่อเยียวยาความเสียหายแก่รัฐและเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงสืบไปนั้น
ปรากฏว่า กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้ทีหนังสือตอบ เครือข่ายสตรีศรีสยาม เรื่องการดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกคืนค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ลงวันที่ 7 เมษายน 2558 ความสำคัญว่า “ขณะนี้กระทรวงกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิรูปเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 เพื่อพิจารณาหาตัวเจ้าหน้าที่ผู้ต้องรับผิดและจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ต้องชดใช้แล้ว”
ทั้งนี้ เครือข่ายสตรีศรีสยาม มีความเคลือบแคลงว่า การดำเนินการดังกล่าวจะครอบคลุมบุคคลในภาคธุรกิจเอกชนที่น่าเชื่อถือว่า มีส่วนได้รับผลประโยชน์โดยมิได้มิชอบจากโครงการรับนำนำข้าวด้วยหรือไม่ กอปรกับมีข้อกฎหมายระบุว่า “คดีรับจำนำข้าว” มีอายุความเพียง 2 ปี(นับแต่กระทรวงการคลังได้รับเรื่องจาก ป.ป.ช. ในเดือน ก.พ.2558 โดยจะหมดอายุความในเดือน ก.พ.2560) จึงอาจเป็นแรงจูงใจให้บุคคลที่ต้องจ่ายสินไหมทดแทนแก่รัฐ กระทำการยักย้ายถ่ายโอน/ปิดซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องในคดีอย่างฉ้อฉล
ในการนี้ เครือข่ายสตรีศรีสยาม จึงขอเรียกร้องให้ คสช. ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 สั่งอายัดทรัพย์กลุ่มบุคคลผู้รับผิดชอบ และ/หรือน่าเชื่อว่ามีส่วนได้รับผลประโยชน์โดยมิได้มิชอบจากโครงการรับนำนำข้าวทั้งหมดเอาไว้ก่อน(เฉพาะในส่วนที่น่าเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงในคดี) เพื่อปกป้องการโยกย้ายถ่ายโอน/ปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์ดังกล่าวและเพื่อรักษาประโยชน์ในการเยียวยาควาเสียหายอันมหาศาลให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่รัฐ
นางพัชรายุ กล่าวด้วยว่า ขอฝากแถลงการณ์นี้ผ่านสื่อมวลชนช่วยนำข้อมูลแถลงการณ์ไปบอกหัวหน้า คสช.ว่า ทางภาคประชาชนได้เรียกร้องขอให้ดำเนินการสั่งอายัดทรัพย์โดยอำนาจมาตรา 44 เราให้ท่านใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดให้กรณีนี้ ก่อนการทุจริตคอรัปชั่นจะกลายเป็นวาระแห่งชาติ เพราะคดีนี้ทำให้รัฐต้องสูญเสียเงินจำนวนมหาศาล ตามที่กระทรวงการคลังได้คำนวณออกมาเป็นเงิน 7 แสนล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนสามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆได้อีกมากมายในการพัฒนาประเทศชาติ และที่สำคัญคือเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ดี
"ขณะที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าปฎิรูปประเทศเพื่อจะแก้ไขปัญหาในทุกๆด้าน โดยเฉพาะปัญหาที่เรื้อรังมามานานในประเทศไทยคือเรื่อง การทุจริตคอรัปชั่น จึงอยากให้ดำเนินการแบบเฉียบขาด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป และอยากให้คนไทยทุกคนได้ทำความเข้าใจส่วนนี้ด้วย และอยากให้เห็นโทษของการใช้นโยบายประชานิยม"