ศาลปค.สั่งยกคำร้อง"ดิเรกฤทธิ์"ขอทุเลาห้ามเปิดผลสอบคดีจม.น้อยให้"อิศรา"
ศาลปกครองกลาง ออกคำสั่งยกคำร้อง"ดิเรกฤทธิ์"ขอทุเลาห้ามเปิดผลสอบคดีจม.น้อยให้"อิศรา" ระบุชัดไม่มีเหตุผลอันสมควร ประชาชนมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ตามเจตนารมณ์กฎหมาย
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคับตามคำวินิจฉัย ที่ สค 7/2558 ลงวันที่ 27 ม.ค.58 ของนายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ในฐานะผู้ร้องคดี กับ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาสังคมการบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีโดยมีนายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศราเป็นผู้ร้องสอด
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ ผู้ถูกร้อง ได้มีคำวินิจฉัย ที่ สค 7/2558 ลงวันที่ 27 ม.ค.58 ให้สำนักงานศาลปกครองเปิดเผยข้อมูลข่าวสารผลการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีจดหมายน้อยฝาก"ตำรวจ" ตามที่ นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ในฐานะผู้ร้องสอดได้ยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ หลังจากที่ถูกสำนักงานศาลปกครองปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลตามที่ร้องขอไปจำนวน 3 รายการ คือ ผลการสอบสวนข้อเท็จจริง ผลการพิจารณาของนายวิชัย ชื่นชมพูนุท และผลการพิจารณาของอนุกรรมการสามัญประจำสำนักงานศาลปกครอง
(อ่านประกอบ: คกก.วินิจฉัยฯ ชี้ขาดให้ศาลปกครองเปิดเผยผลสอบคดีจม.น้อยแก่ 'ผอ.อิศรา' )
แต่นายดิเรกฤทธิ์ เห็นว่าคำวินิจฉัย ที่ สค 7/2558 ลงวันที่ 27 ม.ค.58 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากข้อมูลข่าวสารทั้ง 3 รายการ เป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลของตนเอง และการเปิดเผยข้อมูลให้บุคคลทั่วไปได้ทราบอาจก่อให้เกิดความเสียหายแต่ตนเองได้ จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัย ที่ สค 7/2558 ลงวันที่ 27 ม.ค.58 ดังกล่าว
เบื้องต้น ศาลไต่สวนคู่กรณีและพิจารณาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเห็นว่า คดีนี้ มีข้อเท็จจริงปรากฏว่า สำนักงานศาลปกครอง ได้มีการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนถึงผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีที่ผู้ฟ้องคดีถูกกล่าวหาว่าทำบันทึกส่วนตัวถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้บัญชีการตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจอันเป็นการเผยแพร่ผลการสอบข้อเท็จจริงที่ผู้ฟ้องคดีถูกกล่าวหาออกสู่สาธารณชน
ประกอบกับผู้ถูกฟ้องคดีได้นำส่งข้อมูลข่าวสารที่พิพาท จำนวน 3 รายการ ต่อศาลยุติธรรม เพื่อเป็นพยานหลักฐานในคดีที่มีการฟ้องร้องกันระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ร้องสอด และจากคำวินิจฉัย ที่ สค 7/2558 ลงวันที่ 27 ม.ค.58 ของผู้ถูกฟ้องคดี ระบุให้สำนักงานศาลปกครอง เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร รายการที่ 1 เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีผู้ฟ้องคดีเท่านั้น
คดีนี้ ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลกำหนดมาตรการหรือวิธีการค้มครองใดๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดี โดยให้ชะลอการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามคำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาจะถึงที่สุด เป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดี ที่ สค 7/2558 ลงวันที่ 27 ม.ค.58 ซึ่งโดยผลของการให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับดังกล่าว เท่ากับประสงค์มิให้คำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีในกรณีนี้มีผลบังคับใช้
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มีเจตนารมณ์ที่มุ่งคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐเพื่อให้ประชาชนมีสิทธิตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐได้โดยสะดวก
ในชั้นนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก่อนที่ผู้ถูกฟ้องคดี จะได้มีคำวินิจฉัยที่พิพาทดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีได้เรียกให้คู่กรณีที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อเท็จจริง และผู้ถูกฟ้องคดีเห็นว่าข้อมูลข่าวสารตามคำร้องของผู้ร้องสอดเป็นเอกสารที่เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ ของสำนักงานศาลปกครอง ข้อเท็จจริงจึงยังไม่พอรับฟังได้ว่า คำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ น่าจะไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย
การที่ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดี จึงย่อมส่งผลกระทบต่อการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของทางราชการที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการให้กับประชาชน
ทั้งนี้ หากผู้ฟ้องคดีเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารตามคำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดี เป็นข้อมูลข่าวสารที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร พ.ศ.2540 แล้วหน่วยงานของรัฐให้เปิดเผยทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ผู้ฟ้องคดีก็มีสิทธิฟ้องร้องให้หน่วยงานรัฐนั้นชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความรับผิดตามกฎหมายนั้น ดังที่ได้บัญญัติไว้ตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ที่กำหนดว่า กรณีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 ไม่เป็นเหตุให้หน่วยงานของรัฐพ้นจากความรับผิดตามกฎหมาย หากจะพึงมีในกรณีดังกล่าว การให้คำวินิจฉัยที่ สค 72/2558 ลงวันที่ 27 มกราคม 2558 มีผลใช้บังคับต่อไป ก็ไม่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง กรณีจึงยังไม่มีเหตุอันสมควรที่ศาลจะมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดี ที่ สค 7/2558 ลงวันที่ 27 มกราคม 2558
จึงมีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคับตามคำวินิจฉัย ที่ สค 7/2558 ลงวันที่ 27 มกราคม 2558 ของผู้ฟ้องคดี