การเข้าสู่ตำแหน่งเป็นเรื่องความสามารถมิใช่เรื่องเพศ
วันก่อนมีการพูดถึงการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น โดยฝ่ายสตรีขอให้กำหนดสัดส่วนของตำแหน่งทางการเมืองให้มีสตรีใกล้เคียงกับบุรุษ และมีการโฆษณาชวนเชื่อให้มี การกำหนดสัดส่วนของสตรีในการเข้าสู่ตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งในภาวะเช่นนี้เราต้องการความสามัคคีจึงต้อง ร่วมแรงร่วมใจกันคิดแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้เกิดความปรองดองและสามัคคี
แต่การที่เราเรียกร้องให้กำหนดการเข้าสู่ตำแหน่งโดยการกำหนดจำนวนเพศจะกลายเป็นเรื่องแบ่งแยกความเป็นมนุษย์มากขึ้น เพราะในปัจจุบันเรามิได้มีเพียง 2 เพศ คือ แม่และพ่อ แต่เรามีเพศที่สามด้วย และการเรียกร้องสิทธิสตรีก็เพื่อการทำลายเรื่องเพศให้หมดไป โดยให้พิจารณาที่ความสามารถของบุคคลมิใช่ความเป็นเพศ
ดังเราจะเห็นว่า ในปัจจุบันสตรีได้เข้าสู่ตำแหน่งต่างๆมากมาย และเข้าสู่ตำแหน่งดังกล่าวก็มิใช่เรื่องเพศแต่เป็นเพราะความสามารถและความไว้วางใจของผู้บังคับบัญชาหรือประชาชน เช่น ตำแหน่งทางราชการ เรามีผู้ว่าราชการจังหวัดหญิง ปลัดกระทรวง อธิบดี ตำรวจ ทหาร หรือตำแหน่งทางการเมือง เช่น นายกรัฐมนตรีหญิง นายกเทศมนตรีหญิง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่มาจากการเลือกตั้งที่เป็นหญิงก็มากมาย
ดังนั้น การกำหนดอัตราของตำแหน่งทางการเมืองให้มีเรื่อเพศเข้ามาเกี่ยวข้องจึงเป็นไปในทางที่จะก่อให้เกิดความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากกว่าที่จะก่อให้เกิดความสามัคคี ทั้งเราต่อสู้เรื่องสิทธิเสรีภาพก็เพื่อการลดการแบ่งเพศ และความพิการ
แต่เรื่องสิทธิเสรีภาพนั้น ว่าด้วยความเสมอภาค การยอมรับความสามารถของมนุษย์ทุกเพศ ทุกวัย ทุกผิวพรรณ ทุกศาสนา และทุกการเมืองการปกครอง ซึ่งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ประเทศไทยก็จะมีอัยการสูงสุดเป็นสตรี และในปีงบประมาณหน้านี้ก็จะมีรองอัยการสูงสุดเป็นสตรีถึงสองท่าน
ดังนั้น เราจึงควรตรวจดูว่ายังมีกฎหมายใดบ้างที่ยังแบ่งแยกเรื่องเพศอยู่ กรณีเช่นนี้เราควรเรียกร้องสิทธิ แต่มิใช่สิทธิของสตรีนะ แต่มันเป็นสิทธิของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน เราไม่อาจจะอ้างได้ว่าสตรี ไม่ควรเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหาร (จปร.) หรือเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (สามพราน) ทั้งนี้เรามีนักเรียนรักษาดินแดน (ร.ด.) หญิงแล้ว อีกทั้งเมื่อไม่กี่วันมานี้ทหารจีนหญิงได้ขับเครื่องบินมาลงประเทศไทย มีทั้งความสวยและสง่างามน่าเกรงขาม ทั้งเราคงได้ดูคลิปทหารหญิงเกาหลี จีน เวียดนาม รัสเซีย สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศที่ออกมาสวนสนามหรือฝึกภาคสนามด้วยความแข็งแกร่งไม่แพ้บุรุษ ทั้งในอดีตของไทย ก็ได้สตรีมาปกป้องบ้านเมืองมาแล้วจนเป็นที่กล่าวขวัญมาถึงปัจจุบัน ทำให้เราเห็นว่าความสามารถของสตรีมิได้ด้อยกว่าบุรุษแต่ประการใด แต่อยู่ที่โอกาสเท่านั้น
ที่อเมริกันไม่สามารถชนะเวียดนามในการทำสงครามได้ก็เพราะเวียดนามมีทหารหญิง ที่เก่งนั่นเอง
ส่วนการเรียกร้องให้กำหนดสัดส่วนทางเพศของสมาชิกการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นนั้น นอกจากจะเกิดความแตกแยกในเรื่องเพศแล้ว ยังเป็นการบั่นทอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงที่จะตัดสินใจเลือกผู้ใดให้เป็นผู้แทนของเขาก็ได้
การไปกำหนดกลุ่มเพศ หากได้สมาชิกไม่เป็นไปตามสัดส่วน แล้วจะบังคับให้ประชาชนต้องยอมรับบุคคลที่เขาไม่ได้เลือกที่มีเพศตรงตามสัดส่วน ที่กฎหมายกำหนดเช่นนั้นหรือ แล้วการกำหนดเรื่องเพศจะต้องคำนึงถึงเพศที่สามด้วย ทั้งต้องให้สอดคล้องกับอัตราส่วนของประชากรในเรื่องเพศด้วย อันเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่สอดคล้องกับสิทธิเสรีภาพของบุคคล
นอกจากเรื่องเพศแล้วเรายังจำกัดความสามารถของบุคคลด้วยอายุและการศึกษา ซึ่งน่าจะไม่ถูกต้องตามสถานการณ์ในปัจจุบัน เนื่องจากการศึกษามิได้อยู่แต่ในโรงเรียนหรือสถานการศึกษาเท่านั้น แต่ความรู้สามารถนั้นสามารถหาได้จากโลกออนไลน์ ทำให้เราได้เห็นเยาวชนที่เข้าแข่งขันในรายการต่างๆ ชนะผู้ใหญ่หลายๆ เวที และปัญหาของเด็กๆ มีมากมายที่ยิ่งแก้ก็ยิ่งเพิ่มปัญหา เพราะพวกผู้ใหญ่ไม่เข้าใจเด็กหรือเปล่า เราเคยให้เด็กๆ มาคิดแก้ปัญหาของเขาเองหรือไม่
ดังนั้น การจำกัดอายุในการสมัครผู้แทนในทุกระดับจึงควรยกเลิกเสีย เพราะใครจะสมัคร (อาสาทำความดี) ก็ให้เขาสมัครไป เพราะการได้เป็นผู้แทนหรือไม่มิได้อยู่ที่ผู้สมัครแต่อยู่ที่ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ และในอนาคต คนไม่ดี ไม่เก่ง ต่อไปจะไม่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชน
ส่วนการสมัครสมาชิกวุฒิสภานั้น เห็นควรกำหนดเรื่องประสบการณ์มากกว่าความรู้ความสามรถเพียงอย่างเดียว หน้าที่วุฒิสภาทำหน้าที่ตรวจสอบกลั่นกรองการเสนอกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร และถอดถอนตำแหน่งต่างๆ จึงควรมีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องการบริหารราชการ มาพอสมควร
ดังนั้น ผู้ที่จะมาเป็นวุฒิสภาจึงควรกำหนดคุณสมบัติไว้ค่อนข้างสูงในด้านประสบการณ์ อันเกี่ยวเนื่องในการจะปฏิบัติหน้าที่ และไม่ควรกำหนดอายุเช่นกัน กล่าวคือ หากเป็นประชาชนทั่วไปต้องผ่านการเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 สมัย หรือ 4 ปี หรือเคยเป็นรัฐมนตรีมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเคยเป็นสมาชิกสภาหรือคณะผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 สมัย หรือเคยเป็นข้าราชการระดับผู้บริหารในระดับจังหวัดหรือเทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าระดับ 8 เป็นเวลา ไม่น้อยกว่า 2 ปี ทั้งนี้เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ได้มีประสบการณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินมาแล้วพอสมควร
เมื่อได้รับการเลือกให้เป็นวุฒิสภาจะได้เข้าใจหลักการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งการไม่กำหนดอายุยังเป็นการเปิดโอกาสที่จะได้ผู้แทนที่อายุน้อยแต่มีความรู้ความสามารถสูง และทำให้ประชาชนยอมรับความสามารถ ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้มาเป็นผู้แทนของตนได้
ถึงเวลาหรือยังที่รัฐธรรมนูญจะรับรองเรื่องความสามารถ เหนือเรื่องเพศ การศึกษา อายุ มาเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติในการเป็นผู้แทนในทุกระดับ (ระดับชาติและระดับท้องถิ่น) ของประชาชน เราควรเน้นความสามารถและเคารพในการตัดสินใจของประชาชนเสียงข้างมาก และเมื่อพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดก็มาเลือกกันใหม่ปล่อยให้ผลงานเป็นตัววัดความสามารถไม่ดีกว่าหรือ จึงขอให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ได้โปรดพิจารณาให้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพอย่างแท้จริง ทั้งผู้จะลงเลือกตั้งและผู้จะใช้สิทธิเลือกตั้งในการตัดสินว่าผู้อาสาคนใดสมควรเป็นผู้แทนของประชาชนต่อไป
บทความนี้ อยากให้ทุกฝ่ายมองข้ามเรื่องเพศ อายุ การศึกษาในสถานศึกษา ผิวพรรณ การปกครอง ศาสนา หรือสภาพร่างกาย ของบุคคล โดยหันมาเน้นเรื่องสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน และให้โอกาสที่เท่าเทียมกันคือ ความรู้ความสามารถที่แสดงในทางปฏิบัติจนเป็นที่ประจักษ์ของสังคม ดังเช่น การให้ปริญญากิตติมศักดิ์ นั่นเอง และเสนอให้แก้ไขให้สตรีได้เข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียนนายร้อยทหาร (จปร.) โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (สามพราน) และให้แก้กฎหมายให้คนไทยทุกคนต้องเป็นทหาร ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติมีวินัยมากขึ้น ลดความขัดแย้ง และหากเกิดสงครามเราก็จะมี ทั้งทหารหญิงและทหารชายช่วยกันป้องกันประเทศ หรือยามเกิดภัยพิบัติ บุคคลที่ได้รับการฝึกทหารมาแล้ว จะได้เข้าช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น