การแต่งงานคือหลุมศพของความรัก
ช่วงต้นปีที่ผ่านมามีดารานักแสดงหลายคู่ถือฤกษ์ยามจูงมือเข้าสู่ประตูวิวาห์ ไม่ว่าจะเป็น บุ๋ม ปนัดดา-เอก เอกรินทร์ กระแต ศุภักษร-หลุยส์ และสด ๆ ร้อน ๆ ลิเดีย-แมทธิว คู่รักมาราธอน สร้างความปลื้มปริ่มให้แก่ครอบครัวและแฟนคลับไม่น้อย
ขณะเดียวกันมีดารานักแสดงบางคู่เตียงหัก รักร้าง หันหลังชีวิตคู่แบบทางใครทางมัน เป็นข่าวคราวไปทุกหน้าสื่ออย่าง ลูกตาล ชโลมจิต กับแฟนหนุ่มชาวต่างชาติ แต่ที่เล่นเอา ‘ช๊อก’ คงหนีไม่พ้น ท็อป ดารณีนุช ที่แยกทางกับสามี ซึ่งคบกันมานานร่วม 22 ปี
ไม่มีใครล่วงรู้ดีว่า สุดท้ายแล้ว ‘ความรัก’ ของคนสองคนจะสิ้นสุด ณ จุดใด เพราะไม่ใช่สูตรคณิตศาสตร์ที่มีผลลัพธ์ตายตัว ทว่า ตราบใดที่คนรักคู่ใดรู้จักยอมรับในความเป็นไปของแต่ละฝ่าย หมั่นคอยเติมเต็มความหวาน ความขม สร้างสมดุลให้ชีวิตคู่ เชื่อว่า อยู่กันยืดจนแก่เฒ่าแน่นอน
เช่นเดียวกับต้นไม้ หากได้รับการใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน อยู่สม่ำเสมอ ต้นไม้จะงอกงาม ผลิดอก ออกผล ให้บ่อย ๆ แต่หากไม่หมั่นดูแล ปล่อยปละละเลย นานวันครั้งจึงใส่ปุ๋ย รดน้ำ พรวนดิน ต้นไม้คงยืนต้นตายในเร็ววัน
กระนั้นแล้ว คู่ข้าวใหม่ปลามัน หรือข้าวเก่าปลาไม่มัน ก็ตาม จะประคองชีวิตคู่ให้ราบรื่นต่อไปอย่างไร...เป็นคำถามที่ตอบยาก...ด้วยมักมีเสียงกระซิบลอยมาพร้อมลมว่า “การแต่งงานคือหลุมศพของความรัก”
ผมขอแนะนำ ‘ไม้ผลัดใบ’ นวนิยายรางวัลจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ จากปลายปากกาของ ‘กฤษณา อโศกสิน’ แก่ผู้อ่าน ด้วยเป็นหนังสือที่สะท้อนเรื่องราวการครองชีวิตคู่ได้อย่างดี ในท่วงทำนองอักษรราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยข้อคิดให้ได้ไตร่ตรอง
กฤษณา ถ่ายทอดเรื่องราวการสร้างครอบครัวที่ดี ทว่า กลับไม่เป็นไปตามที่วาดฝันไว้ ผ่านตัวละคร 2 คู่ คือ ชิงดวงกับพัลลภ และเทียนสีกับพืชน์ ซึ่งมีปัญหาชีวิตคู่เรื่องคล้ายกัน แต่บริบทแตกต่างกัน ทว่า แทนที่สามีหรือภรรยา จะผลัดกันยอม เพื่อให้สถานการณ์ทะเลาะเบาะแว้งดีขึ้น กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อต่างฝ่ายต่างถือทิฐิเข้าหากัน
เช่นนี้แล้ว ความรักคง ‘พัง’ ไม่มีทางรอด
จากปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ชอบสังสรรค์ เฮฮา พูดจากระทบกระเทียบของเทียนสี ทำให้พืชน์เบื่อหน่ายเอือมระอา ยิ่งวาจาของหล่อนที่ไม่มีน้ำมีนวลด้วยแล้ว ยิ่งชวนให้อารมณ์เสียไปอีก ไม่ต่างอะไรกับเขามากนัก วัน ๆ คลุกอยู่กับงานวิชาการ เพียงเพราะคิดว่า สามารถช่วยคลายเหงาได้บ้าง จากความรัก ใกล้ชิด กลายเป็นความเหินห่าง จนถึงขั้นแตกหัก
“คนเรามักไม่แลเห็นตัวเอง พ่อไม่เคยเชื่อเรื่องผลที่ไม่มีเหตุ ผลลัพธ์ทุกอย่างมีที่มาของมันทั้งนั้นแหละ ชั่วแต่ว่า จะมีใครเห็นหรือไม่เห็นเท่านั้น บางทีเห็นแล้ว ละเลยเสียก็ได้” บทสนทนาระหว่างพืชน์กับพ่อ
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตคู่ การเอาใจใส่ครอบครัวของแต่ละฝ่าย นับว่ามีความจำเป็น เปรียบดังน้ำหล่อเลี้ยงสายใยรักระหว่างกัน ซึ่งชิงดวงกับพัลลภพยายามทำ หรือหล่อนทำ เขาไม่ทำ เขาทำ หล่อนไม่ทำ มิหนำซ้ำ ยังนำพาคนบ้านโน้นมานินทาลับหลังด้วย
“...การที่คนเราจะอยู่ด้วยกันด้วยความราบรื่นน่ะ มันยากแค่ไหน ยิ่งต่างฝ่ายต่างมีพ่อแม่ มีญาติมาก ต่างก็รักพ่อแม่ รักญาติของตัว พอถึงพ่อแม่พี่น้องของตัว ก็คุยว่าดีอย่างงั้นอย่างงี้...อย่างพัลลภ เขาอาจจะมีความผูกพันกับพ่อแม่พี่น้องของเขามากกว่าผู้ชายอื่น” บทสนทนาระหว่างชิงดวงกับแม่
ตลอดจนผองเพื่อนที่มักเป็นกระโถนรองรับความทุกข์ ในยามทุกข์ใจ ซึ่งกฤษณาถ่ายทอดในแง่มุมเพื่อนที่ดี ประหนึ่งเตือนสติให้กลับไปคิดให้ดีก่อนตัดสินใจจะทำอะไร เเต่ไม่วายก็เผลอเลอบอกเล่าประสบการณ์ความรักของตัวเองให้ฟังเเทน
“การแต่งงานเหมือนการเสี่ยงโชคจ้ะดวง เฮงก็ได้คนดี ซวยก็ได้ไอ้ที่ไม่เอาไหน...ที่จะรู้ตื้นลึกหนาบางกันมาก่อนแต่งน่ะ ไม่ค่อยเจอ...โดยมากรู้แค่ตื้นกับบาง ถ้าลึกกับหนาล่ะก็ มักรู้ตอนนอนมุ้งเดียวกันแล้ว”
ยิ่งเทียนสีกับพืชน์ด้วยแล้ว การเลิกกันถือเป็นเรื่องยาก เพราะพวกเขามี ‘ลูกปลา’ เป็นโซ่คล้องใจอยู่
การแต่งงานจะไม่ใช่หลุมศพของความรัก หากต่างฝ่ายต่างยอมผลัดใบ ต่างฝ่ายต่างยอมเปลี่ยนแปลง และยอมรับความเป็นคนของกันและกัน ห้ามถือตนเป็นใหญ่ หรือยกตนข่มท่าน เพราะใช้กับการครองชีวิตคู่ที่มี ‘ความรัก’ เป็นส่วนเชื่อมร้อยไม่ได้
กฤษณา อโศกสิน บอกว่า
ไม้ยังรู้จักผลัดใบ เหตุไฉน มนุษย์จะไม่รู้สึกอยากผลัดใจ
ไม้ผลัดใบเป็นปกติของไม้
คนผลัดใจ จึงเป็นปกติของคน .
เชิญติดตามข่าวสารวงการบันเทิงจากเเฟนเพจ พราวกระซิบ
ภาพประกอบ:ท็อป ดารณีนุช-เว็บไซต์เจ้าพระยานิวส์, บุ๋ม ปนัดดา ลิเดีย กระเเต ศุภักษร-เว็บไซต์กระปุก