'สารี' ปลุกพลัง ปชช.หนุนตั้งองค์กรอิสระคุ้มครองผู้บริโภค
ภาคประชาชนรุกหนุน 'ปฏิรูประบบคุ้มครองผู้บริโภค' ยันต้องเกิดองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นตัวเเทนถูกต้องตาม กม. 'ดร.เดือนเด่น' ฝากผู้ประกอบการยุค ศก.ดิจิทัล สร้างสัญลัักษณ์สินค้าความมั่นใจ ใส่ใจลูกค้ามากขึ้น
วันที่ 15 มีนาคม 2558 เวทีอภิปราย "สิทธิผู้บริโภค: ปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค" ในการประชุม "สมัชชาผู้บริโภค" ซึ่งจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 15-16 มี.ค.2558 ที่โรงแรมเซนจูรี่ พาร์ค
ทั้งนี้ เนื่องในวันสิทธิผู้บริโภคสากล “World Consumer Rights Day” ซึ่งในปีนี้สหพันธ์ผู้บริโภคสากล (Consumers International หรือ CI) ได้ให้ความสำคัญเรื่อง “สิทธิผู้บริโภคในการได้รับอาหารที่ดีต่อสุขภาพ” (Consumers Rights to healthy food)
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง ประธานกรรมาธิการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึงผลงานของ กมธ.ที่ผ่าน สปช.แล้ว 2 เรื่อง ได้แก่ การคิดค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามเวลาใช้งานจริง และร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งรัฐบาลขอเวลา 20 วันในการขอความเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ หาก ครม.เห็นชอบก็จะส่งให้สภานิติบัญญัติเเห่งชาติ (สนช.) ต่อไป
สำหรับกรณีการคัดค้านจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองบริโภค (สคบ.) ปธ.กมธ.คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค ยืนยันว่าการทำงานของทั้งสองหน่วยงานจะต่างกัน โดย สคบ.นั้นมีหน้าที่ในการปรับและลงโทษผู้ประกอบการที่เอาเปรียบผู้บริโภค แต่องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค จะทำหน้าที่เชิงนโยบาย ให้ความเห็นต่อหน่วยงานรัฐในการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นการทั่วไป
นางสาวสารี ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลประกาศลดดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว แต่ดอกเบี้ยเงินกู้กลับไม่ลดลง เพราะไม่มีตัวแทนผู้บริโภคในธนาคารเลย ทำให้การกำกับดูแลปัจจุบันไม่มีใครนึกถึงผู้บริโภคเลย การมีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคจะช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้ผู้บริโภคมากขึ้น หรือกรณีการขึ้นค่าโดยสารรถสาธารณะ องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคก็จะทำหน้าที่เถียงกับเจ้ากระทรวง ซึ่ง สคบ.คงไม่สะดวก
"อยากขอให้เครือข่ายผู้บริโภคช่วยกันติดตาม ครม. และสื่อสารกับ สคบ. ถ้าประชาชนไม่ส่งเสียงหรือให้ความสำคัญ สิ่งที่ทำจะสำเร็จยาก เพราะฉะนั้น ก็ต้องการความตื่นตัวจากประชาชนทุกคน" ปธ.กมธ.คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค กล่าว
ด้านดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ กรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน ด้านการเงินการธนาคาร กล่าวเสริมว่า งานของ สคบ.เป็นงานเชิงรับ เช่น รับเรื่องร้องเรียน แต่งานขององค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นงานเชิงรุก เนื่องจากที่ผ่านมา การกำหนดนโยบายของกฎหมายต่าง ๆ มักมีแต่ตัวแทนของภาคธุรกิจ ไม่มีตัวแทนผู้บริโภค ดังนั้น หากมีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคก็จะมีตัวแทนผู้บริโภคอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
นอกจากนี้ ดร.เดือนเด่น กล่าวถึงการคุ้มครองผู้บริโภคในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยว่า ต้องให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภคมากขึ้น โดยชี้ว่า ปัจจุบันที่ผู้บริโภคสามารถซื้อของออนไลน์ได้ทุกที่ไม่มีพรมแดน ผู้ประกอบการในต่างประเทศนั้นหันมาคุ้มครองผู้บริโภคมากขึ้นแล้ว เช่น จับมือกันทำ Warrantary Trust Mark หรือสัญลักษณ์แห่งความมั่นใจได้เชิงสมัครใจ เพื่อเพิ่มความมั่นใจของผู้บริโภค ดังนั้น ฝากถึงผู้ประกอบการไทยว่าควรใส่ใจคุ้มครองผู้บริโภคมากขึ้น เพราะถือเป็นการส่งเสริมการค้า ไม่ใช่การเพิ่มต้นทุนแต่อย่างใด
ด้าน รศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวเน้นย้ำว่า สิทธิผู้บริโภคในกลไกต่าง ๆ ยังน้อยอยู่ จึงต้องเพิ่มกลไกต่าง ๆ เข้ามา เช่น เรื่องท้องถิ่นกับการคุ้มครองผู้บริโภค สื่อกับการคุ้มครองผู้บริโภค
ทั้งนี้ ผอ.สถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ กล่าวถึงสิ่งที่ท้าทายขณะนี้ว่า กมธ.พยายามเสนอเพิ่มสัดส่วนผู้แทนภาคประชาชนด้านการคุ้มครองผู้บริโภคเข้าไปในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค 50% ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับการตอบรับหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ท้าทายไม่ต่างจากการเสนอเพิ่มสัดส่วนผู้หญิง
ขณะที่ ผศ.ประสาท มีแต้ม กรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ภาคประชาชน ด้านบริการสาธารณะ กล่าวถึงกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนของกลุ่มผู้บริโภค โดยย้ำว่า สิทธิผู้บริโภคนั้นไม่ใช่การมอบให้กัน แต่ต้องลงมือทำเอง ทั้งนี้ เสนอแนวทางแบบสหพันธ์ผู้บริโภคสากลที่เสนอว่า ควรจะต้องคิดใหญ่และทำร่วมกันทั้งโลก งานคุ้มครองผู้บริโภคจะสำเร็จได้ เครือข่ายภาคประชาชนต้องทำงานร่วมกันแบบกระจายศูนย์ และเชื่อมต่อกันขึ้นไป โดยรู้จักใช้เทคโนโลยีให้เต็มที่อย่างมีจริยธรรมและคุณธรรม .