แอมเนสตี้ฯ เปิดรายงานสิทธิมนุษยชน ปี 57-58 ห่วงชายแดนใต้ 11 ปี ตายเกือบ 4 พัน
แอมเนสตี้ฯ เปิดรายงาน 11 สถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทย ปี 2557-58 พบความขัดแย้งด้วยอาวุธ 3 จว.ชายแดนใต้น่าห่วง ผ่านมา 11 ปี สูญเสียเกือบ 4 พันคน 80% เป็นพลเรือน ชี้ขัดหลักสิทธิมนุษยชน-มนุษยธรรม เรียกร้องรัฐยกเลิก กม.ฉุกเฉิน จำกัดเสรีภาพ คุมตัวโดยพลการ
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 องค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จัดแถลงข่าวเปิดตัวรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก ปี 2557-58 ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ณ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพฯ
น.ส.ปริญญา บุญฤทธิ์ฤทัยกุล ผอ.องค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงภาพรวมสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกที่ผ่านมาว่า ยังมีความล้มเหลวในการปกป้องพลเรือนจากสถานการณ์อาชญากรรมสงครามอยู่ ดังเช่นกรณีความขัดแย้งในประเทศซีเรีย ซึ่งขณะนี้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติไม่สามารถปฏิบัติภารกิจใด ๆ ได้เลย จนทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 2 แสนคน ผู้อพยพลี้ภัยอีกราว 7.6 ล้านคน
นอกจากนี้การบังคับให้สูญหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เป็นอีกสิ่งที่กังวล โดยเฉพาะภูมิภาคละตินอเมริกา ในประเทศเม็กซิโก ซึ่งเมื่อเดือนกันยายน 2557 มีการบังคับนักศึกษาให้สูญหายจำนวน 43 คน หลังจากตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา มีบุคคลถูกบังคับให้สูญหายแล้วราว 2.2 หมื่นคน ทั่วประเทศ
ผอ.องค์การแอมเนสตี้ฯ ยังกล่าวถึงการปราบปรามองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน/ภาคประชาสังคมที่ออกมาเรียกร้องเสรีภาพของตนเอง โดยยกตัวอย่างในประเทศรัสเซีย อียิปต์ และฮ่องกง ซึ่งประเทศหลังเพิ่งเกิดการประท้วงเกิดขึ้น และต้องเผชิญหน้ากับการถูกข่มขู่คุกคาม จนมีใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจในการปราบปราม
เช่นเดียวกับการทรมานที่ยังเกิดสถานการณ์อยู่ แม้ว่าจะมี 150 ประเทศ ลงนามในภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน แต่ยังพบ 131 ประเทศ ทำการทรมานประชาชนในประเทศ เพื่อให้ได้มาของคำรับสารภาพและข้อมูลอยู่
“ประเทศทั่วโลกที่เกิดอาชญากรรมสงคราม 18 ประเทศ มีพลเรือนตกเป็นเหยื่อและเสียชีวิต 35 ประเทศ และมี 62 ประเทศ ยังจับกุมขังนักโทษทางความคิด เพียงแค่ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพแสดงความคิดเห็นโดยสงบและสันติ ซึ่งมีความแตกต่างทางการเมือง ศาสนา และชาติพันธุ์” น.ส.ปริญญา กล่าว และว่ามี 119 ประเทศ จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและปราบปรามสิทธิเสรีภาพอย่างกว้างขวาง ใน 28 ประเทศ มีการตรากฎหมายให้การทำแท้งถือเป็นอาชญากรรม อีกทั้ง 78 ประเทศ ตรากฎหมายห้ามมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน และ 93 ประเทศ มีการไต่สวนไม่เป็นธรรมขึ้น
สำหรับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทยนั้น ผอ.องค์การแอมเนสตี้ฯ ระบุมี 11 ประเด็น คือ 1.การขัดแย้งกันด้วยอาวุธในประเทศ 2.การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย 3.การบังคับบุคคลให้สูญหาย 4.เสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุม 5.การจับกุมและควบคุมตัวโดยพลการ 6.การไต่สวนคดีอย่างไม่เป็นธรรม 7.การลอยนวลพ้นผิด 8.นักปกป้องสิทธิมนุษยชน 9.การค้ามนุษย์ 10.ผู้ลี้ภัยและแสวงหาผู้พักพิง และ 11 โทษประหารชีวิต
น.ส.ปริญญา กล่าวตอนหนึ่งถึงสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธในประเทศว่า เกิดจาก 2 เหตุการณ์ คือ ความรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยตลอด 11 ปี ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์กว่า 9,000 ครั้ง เฉลี่ย 2.25 ครั้ง/วัน มีผู้เสียชีวิต 3,929 คน ผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 1 หมื่นคน และกว่าร้อยละ 80 เป็นพลเรือน ซึ่งขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชนและสิทธิมนุษยธรรม ระบุว่า พลเรือนต้องไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายต้องรับความเสี่ยงจากความขัดแย้งใด ๆ
อีกหนึ่งเหตุการณ์ คือ ความรุนเเรงทางการเมือง ล่าสุด การปะทะกันระหว่างฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลกับคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากการกระทำของทางการหรือผู้ชุมนุม ล้วนส่งผลกระทบให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งสิ้น
ผอ.แอมเนสตี้ฯ ยังกล่าวถึงสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายว่า จากรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) พบในช่วงปี 2550-56 มีการร้องเรียนการทรมานทั้งสิ้น 134 เรื่อง มีผู้เสียหาย 188 คน โดย 94 เรื่อง เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และผู้ที่กระทำทรมานจากตำรวจ ร้อยละ 40 ทหาร ร้อยละ 51 เจ้าหน้าที่เรือนจำ ร้อยละ 7 และอื่น ๆ ร้อยละ 2 อย่างไรก็ตาม จำนวนดังกล่าวไม่ใช่ผู้ได้รับการทรมานทั้งหมด เพราะหลายครั้งต้องยอมรับว่า ผู้ทำการทรมานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ/ความมั่นคง ดังนั้น ประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้รับความหวาดกลัวจึงเข้าไปร้องเรียน
น.ส.ปริญญา กล่าวด้วยว่า แอมเนสตี้ฯ มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทยที่สำคัญ คือ ให้ปฏิรูปหรือยกเลิกกฎหมายฉุกเฉินที่ไม่สอดคล้องต่อพันธะกรณีของไทย โดยเฉพาะกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพ ควบคุมตัวโดยพลการ การแสดงความคิดเห็น การชุมนุมโดยสงบ และประกันว่าผู้ถูกคุมตัวทุกคนจะมีการนำตัวเข้าสู่การไต่สวนที่เป็นธรรมและอิสระโดยทันที อีกทั้งยุติการใช้ศาลทหารไต่สวนคดีพลเรือน ไม่ว่ากรณีใด ๆ
นอกจากนี้ด้านกฎหมายจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เรียกร้องให้รัฐบาลฟื้นฟูสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและชุมนุมโดยสงบ แก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ให้สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ โดยให้ยกเลิกข้อบัญญัติอนุญาตให้บุคคลใดฟ้องร้องบุคคลอื่นในข้อหานี้ได้ และกำหนดอัตราโทษที่ไม่ได้สัดส่วนในความผิด พร้อมขอให้มีการชะลอการใช้กฎหมายนี้จนกว่าจะมีการแก้กฎหมายต่าง ๆ
สำหรับสถานการณ์ทางการเมือง ผอ.แอมเนสตี้ฯ กล่าวว่า เรียกร้องให้ทบทวนวิธีการควบคุมฝูงชนให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการสลายฝูงชนและการใช้กำลัง พร้อมประกันว่าจะมีการสอบสวนข้อร้องเรียนมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงโดยทันทีอย่างรอบด้านและอย่างเป็นอิสระ และให้มีการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และในระหว่างการสอบสวนให้สั่งพักราชการบุคคลใด ๆ ที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการละเมิดดังกล่าว รวมถึงให้ทางการประกาศอย่างชัดเจนถึงรายละเอียดส่วนบุคคลและสถานที่ควบคุมตัวบุคคลทุกคนโดยเฉพาะในระหว่างการใช้กฎอัยการศึก .
อ่านประกอบ:แอมเนสตี้ เสนอรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก ปี 57-58
แอมเนสตี้ฯ เปิดรายงาน 11 สถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทย ปี 2557-58 พบความขัดแย้งด้วยอาวุธ 3 จว.ชายแดนใต้น่าห่วง ผ่านมา 11 ปี สูญเสียเกือบ 4 พันคน 80% เป็นพลเรือน ชี้ขัดหลักสิทธิมนุษยชน-มนุษยธรรม เรียกร้องรัฐยกเลิก กม.ฉุกเฉิน จำกัดเสรีภาพ คุมตัวโดยพลการ