มติ ป.ป.ช.เพิกถอน น.ส.3 บางสะพาน บ.เครือสหวิริยา 200 ไร่ ออกมิชอบ
ป.ป.ช. ยันไม่มีอำนาจพิจารณาปมโรงงานถลุงเหล็กเอกชนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม-ออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินโดยมิชอบ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เหตุ จนท.เกี่ยวข้องพ้นตำแหน่ง-เสียชีวิตเป็นสิบปีแล้ว ส่งต่อให้กรมที่ดินเพิกถอนสิทธิ 200 ไร่
นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งได้พิจารณาสำนวนคดี กรณีกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบจากการสร้างโรงงานถลุงเหล็ก ของบริษัท เครือสหวิริยา จำกัด ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวะล้อมใน ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่ประมาณ 1,200 ไร่ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นแก้มลิงแห่งสุดท้ายของบางสะพาน และเป็นที่รองรับน้ำลงสู่ป่าพรุและคลองแม่รำพึงก่อนระบายลงสู่ทะเล ซึ่งเป็นที่ทำกินของประชาชน จึงเห็นว่า การออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินบริเวณดังกล่าว น่าจะเป็นไปโดยมิชอบตามระเบียบและกฎหมาย
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวโดยการลงพื้นที่ และให้ผู้เชี่ยวชาญของศาลในทางวิเคราะห์ถ่ายภาพทางอากาศวิเคราะห์ภาพถ่ายแล้ว รวมทั้งนำผลการตรวจสอบของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน และหน่วยป้องกันรักษาป่า พบว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีสภาพเป็นพื้นที่ป่าพรุที่มีคุณค่าทางระบบนิเวศ ก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำ
จากข้อสันนิษฐานทางธรณีวิทยาพบว่าป่าพรุแห่งนี้น่าจะมีอายุประมาณ 100 ปี มีพันธุ์ไม้และสัตว์หลายชนิด ซึ่งสัตว์บางชนิดอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ หรือพบได้เฉพาะบริเวณดังกล่าวเท่านั้น ซึ่งเป็นที่ที่ชาวบ้านเข้าไปหาของป่าและใช้ประโยชน์ จึงถือได้ว่าเป็นที่ดินของรัฐ อันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน
จากผลการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดินบริเวณดังกล่าวจำนวน 22 แปลง พบว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย จำนวน 11 แปลง เป็นเอกสารสิทธิที่เป็น น.ส.3 และ น.ส.3ก. เนื่องจากเป็นที่ดินที่ไม่มีสภาพการทำประโยชน์มาก่อน จึงเป็นที่ดินที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิให้ผู้ใดได้
ที่ดินบริเวณดังกล่าวนี้ ได้ข้อมูลว่าปัจจุบันบริษัท ประจวบพัฒนา ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท เครือสหวิริยา จำกัด ซึ่งได้กว้านซื้อที่ดินบริเวณนี้เพื่อขยายโรงงานถลุงเหล็ก แต่ชาวบ้านผู้เดือดร้อนได้รวมตัวกันประท้วงการสร้างโรงงาน เนื่องจากหากอนุญาตให้ก่อสร้างจะต้องมีการถมดินสูงกว่าระดับเดิมประมาณ 12 เมตร จะเป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมเกือบทั้งอำเภอ
และยังพบว่าบริษัทดังกล่าว พยายามที่จะยึดเอาที่ดินป่าพรุบริเวณนี้และใกล้เคียงเพื่อใช้ประโยชน์ด้วยวิธีการนำเข้าร่วมโครงการเป็นนิคมอุตสาหกรรม แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากการนิคมอุตสาหกรรมได้มีมติให้ยกเลิกโครงการแล้ว
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าเอกสิทธิ น.ส.3 และ น.ส.3ก. จำนวน 11 แปลงดังกล่าว รวมเนื้อที่ประมาณ 200ไร่ เป็นการออกเอกสิทธิโดยมิชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย จึงมีมติให้ส่งเรื่องให้กรมที่ดินเพื่อพิจารณาเพิกถอนสิทธิดังกล่าว
ในส่วนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกันการออกเอกสารสิทธิดังกล่าว ได้พ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐไปแล้วเกินสิบปีก่อนที่จะมีผู้ร้องเรียน สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไป ป.ป.ช.จึงไม่มีอำนาจดำเนินการได้