ส่องมุมคิด ‘ต่อ ฟีโนมีน่า’ :อยากให้โลกเปลี่ยน ต้องให้คนเปลี่ยน ‘เลนส์ปัญญา'
"...การไปในที่มีชื่อเสียง และผู้คนยกย่องตลอดเวลา กลัวเหลิง กลัวกิเลส กลัวคนมายกย่อง พอยกย่อง จะเหลิง คิดว่าเหนือกว่าคนอื่น และมีอีโก้ ทำให้ไม่ฟังใคร จะคิดว่าเป็นคนที่เก่งที่สุด นั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด จึงหลีกเลี่ยงสถานที่ไปแล้วมีผู้คนยกย่อง..."
มีโอกาสรู้จัก ‘ธนญชัย ศรศรีวิชัย’ หรือ ต่อ ฟีโนมีน่า ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาไทยอันดับต้น ๆ ของโลก จากคลิปในเว็บไซต์ยูทูป จนกระทั่งได้เจอตัวจริงเสียงจริงครั้งแรกในงาน ‘New Heart New World ตื่นเพื่อตนเอง ตื่นเพื่อผู้อื่น' ณ สวนโมกข์ กรุงเทพฯ
ผู้ชายผมฟูยาวรวบตึง ไว้หนวดรุงรัง พูดจาฉาดฉาน คงไว้ซึ่งบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ในชุดเสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น หากดูผิวเผินจากการแต่งกายภายนอก ต้องเป็นคนมีกอารมณ์ศิลปินสูง แนวติสท์แตก มีความเป็นตัวตนสูง โดยไม่ต้องปรุงแต่งจากเสื้อผ้าหน้าผม..
แต่ใครจะไปรู้ว่า ชายหนุ่ม ผู้มีความเป็นตัวตนสูง โดยไม่ต้องปรุงแต่งจากเสื้อผ้าหน้าผม จะทุ่มเงินกว่า 100 ล้านบาท ซื้อที่ดิน 6 ไร่ ย่านอ่อนนุช เพื่อปลูกป่า
“...สำหรับพี่เวลาจะคิดทำอะไรสักอย่างหนึ่ง จะคิดทำในสิ่งที่ดีที่สุดก่อน ซึ่งการใช้พื้นที่ในกรุงเทพฯ หรือการใช้พื้นที่ดีที่สุด จะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด สมมติเรามีพื้นที่นำไปสร้างคอนโด ทำให้เราได้อยู่อาศัย แต่ถามว่าคอนโดนั้นทำให้เราสร้างปัญญาหรือไม่ คำตอบ คือ ไม่ เพราะเจ้าของได้เพียงเงิน
ถ้าประโยชน์สูงสุดของมนุษย์เพียงตัวเงิน ก็ไม่น่าจะเรียกว่า ประโยชน์สูงสุด แต่ประโยชน์สูงสุดต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและตัวเองด้วย
อย่าคิดว่าพี่เป็นคนจิตใจดี คิดถึงคนอื่น กรุณาอย่าคิด! เพราะการปลูกป่าครั้งนี้ คิดถึงตัวเองก่อน เห็นแก่ตัวชัดเจน (เสียงสูง)
แต่การเห็นแก่ตัวมีความลึกซึ้งอยู่ เราต้องรู้ว่า ตัวเราคือใคร เห็นว่าเราเป็นมนุษย์ และสูงสุดของความเป็นมนุษย์คืออะไร หรือสิ่งที่เหมาะสมกับมนุษย์ที่สุดคืออะไร นั่นคือ อากาศ ธรรมชาติ ชีวิต และความเป็นจริง ฉะนั้นการที่พี่ใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริง คือ ธรรมชาติ ทำให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเอง และเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น”
การทำให้ที่ดินผืนนี้เกิดประโยชน์แก่ลูกหลานในอนาคต เป็นสิ่งที่ ‘ต่อ ธนญชัย’ คาดหวังเมื่อถึงเวลาต้องตายจากโลกนี้ไป เขาบอกว่า "หากก่อนตายพี่เห็นต้นไม้เติบโตนิดเดียว พี่ก็โอเค ไม่มีปัญหาอะไร เพราะไม่ได้คิดว่าจะต้องเสพ ขอมีความสุขตอนที่ปลูก จบ! แต่ป่าต้องมีงู ตัวเงินตัวทอง เต่า นก แมงป่อง แมงมุม มียุง ป่าต้องมีสัตว์ แต่ถ้าเป็นต้นไม้ มีหญ้ามาเลย์ เรียกว่า สวน"
ทั้งนี้ คนมักบอกว่า ในป่ามีงูแล้วพี่จะอยู่อย่างไร เราก็ต้องเลือกอยู่ ต้องเข้าใจแก่นสารและสาระสำคัญของสัตว์
"....มึงกลัวงู มึงเคยรู้ไหมว่า งูกลัวมึงด้วย เพราะฉะนั้น มึงกลัวงูทำไม...เมื่ออยู่กับธรรมชาติหรือป่าทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงขึ้น"
ถึงตรงนี้เป็นเรื่องยากที่คนหนึ่งจะลุกขึ้นมาทุ่มเงินมหาศาลเพื่อปลูกป่า แทนที่ ทำงานโฆษณา เพื่อแสวงหาเงิน ชื่อเสียง และนำไปสู่การมีชีวิตที่ดีขึ้น
“ทุกครั้งที่ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ เรามักจะถามว่า อยากมีชีวิตที่ดีที่สุด แล้วการมีชีวิตที่ดีที่สุดเป็นอย่างไร ชีวิตที่ดีที่สุดต้องเป็นชีวิตที่เราไม่มีความกลัวอะไร เพราะเราไม่ขึ้นอยู่กับใคร ไม่ได้เป็นลูกจ้างใคร หรือหากเป็นลูกจ้างใคร ก็ไม่ต้องกลัวต่ออิทธิพลหรือการเมืองในบริษัท เรายึดมั่นความถูกต้อง ยึดมั่นทำ เราก็ไม่กลัว จะทำให้ชีวิตเบาขึ้น
ชีวิตเบาขึ้น คือ ชีวิตที่มีหลักในการดำเนินชีวิต และสลัดในสิ่งที่ไร้สาระออกไป เมื่อทำงานมาก ๆ ซื้อรถสปอร์ตก็ต้องมีคนดูแล ฝนตกรถก็เปียก รถก็ไม่ได้ใหญ่ขึ้น แต่ถ้าปลูกต้นไม้ ฝนตกต้นไม้จะเติบโตขึ้น แค่นี้คิดไม่ได้เหรอ???
ถามว่า มีหรือไม่ที่รถเฟอร์รารี่ออกมาเป็นลูก ๆ เอากันชนมาทำเป็นแยม เอาไฟ (รถ) มาทำน้ำหมัก ทำไม่ได้ แก่นสารและสาระสำคัญไม่มีเท่า ต้นไม้”
ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณามือหนึ่งของไทย มีมุมมองถึงการเลือกซื้อเครื่องแต่งกายว่า "ซื้อไปทำไม ยี่ห้อ Prada เพราะไม่รู้จะซื้อไปทำไม เปลืองเงิน ต้องบินไปนู้นเพื่อไปซื้อ แต่ถ้าใส่รองเท้าแตะ กางเกงขาสั้น เสื้อกล้ามบิ๊กซี ก็พอแล้ว เพราะแท้จริงความงดงามของมนุษย์ต้องเกิดจากภายใน ไม่ได้เกิดจากเสื้อผ้า"
"ถ้าคุณยังเป็นคนไม่มีอะไร ต่อให้ใส่เสื้อผ้าแพง ๆ ไม่ได้ช่วย พระพุทธเจ้ามีแค่ผ้าห่อศพ ยังเป็นมหาบุรุษได้ ดังนั้นคุณมีความรู้มากมาย นุ่งผ้าขาวม้าก็งดงามอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องไปพัวพันกับเรื่องไร้สาระ ฉะนั้นชีวิตจะเบาขึ้น เมื่อเรารู้ก็เลยตัดออก เหลือแต่สิ่งที่คิดว่าควรจะรู้และควรจะทำเท่านั้นเอง"
ชื่อเสียงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนในสังคมพึงปรารถนา ในฐานะที่ ‘ต่อ ธนญชัย’ เคยได้รับการจัดอันดับเป็นผู้กำกับโฆษณาอันดับ 1 ของโลก เพราะอะไรจึงไม่ไปรับรางวัล แต่ในงานที่มีคนฟังเพียงไม่กี่ร้อยคน กลับมา
|
“เราต้องคำนึงก่อนว่า การไปรับรางวัลประโยชน์ที่ได้กับใคร คำตอบ คือ กับพี่ แล้วได้อะไรนอกจากวัตถุชนิดหนึ่งที่หนัก ๆ ขึ้นเครื่องบินไปรับที่ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา หรืออังกฤษ และต้องหิ้ววัตถุอันหนัก ๆ มาไว้ที่บ้าน
ถัดจากนั้นต้องทำตู้โชว์ เพื่อใส่วัตถุหนัก ๆ ไว้โชว์คนอื่น ซึ่งแขกที่มาไม่ดูหรอก คำถาม คือ พี่จะไปทำไม เป็นกิจกรรมที่ไม่ควรจะทำอย่างยิ่ง ไปก็ได้แต่คนชื่นชมเรา ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ไม่เกิดมรรคผลใด
แต่การมาที่สวนโมกข์มีประโยชน์ เพราะได้พูดคุย แลกเปลี่ยน และแสดงความคิดบางอย่าง ถ้าเห็นด้วยก็ยินดี ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ไม่ต้อง ดังจะเห็นว่าพี่จะไม่เสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์ เช่น งานประกาศรับรางวัล ต่อให้รางวัลเลิศเลออย่างไรก็ไม่ไป รุงรังชีวิต อยู่เฉย ๆ ดีกว่า กินข้าวช้า ๆ ดีกว่า อยู่กับหมาดีกว่า แม้จะมีคนบอกว่า ไม่ให้เกียรติ เราก็ขอบคุณไปแล้วไง แต่ขอไม่ไป เพราะยุ่ง รุงรัง”
เขาขยายความว่า การไปในที่มีชื่อเสียง และผู้คนยกย่องตลอดเวลา กลัวเหลิง กลัวกิเลส กลัวคนมายกย่อง พอยกย่อง จะเหลิง คิดว่า เหนือกว่าคนอื่น และมีอีโก้ ทำให้ไม่ฟังใคร จะคิดว่าเป็นคนที่เก่งที่สุด นั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด จึงหลีกเลี่ยงสถานที่ไปแล้วมีผู้คนยกย่อง จะหลบหลีก โดยเฉพาะการออกรายการทีวี กลัวมาก เพราะสังคมไทยเคลื่อนไหวเร็ว ยกย่องคนให้สูงเร็ว แล้วปล่อยทิ้งลงมาเร็วมาก
"ผมไม่มีวันเป็นแบบนั้น เพราะรู้ว่ากลไกเป็นแบบนั้น ผมอยู่เงียบ ๆ ดีกว่า สายัณห์สัญญา รัก ‘ต่อ’ น้อย ๆ แต่รักนาน ๆ"
การมีชีวิตที่เบาสบาย อยู่บ้านเฉย ๆ เล่นกับหมา สิ่งเหล่านี้ดีอย่างไร ในเมื่อคนทั่วไปกลับเห็นว่า การมีกิจกรรมทำทุกวัน ทำให้รู้สึกชีวิตมีคุณค่า ?
“พี่ไม่ได้อยู่เฉย ๆ แต่กำลังเห็นความงดงามของการไม่ต้องแบกรับตัวตนมาก
คำของท่านพุทธทาส ‘ตัวกูของกู’ คลาสสิกมาก เพราะแบกไว้แล้วเหนื่อย วันดีคืนดี วันหนึ่ง อยากไม่สระผมเลย 3 ปี คิดไว้แบบนี้ จะสลายตัวตนแล้ว เลยไม่สระผม เอาน้ำลูบอย่างเดียว จนวันหนึ่งรู้สึกคัน จึงสระผม
เฮ้ย!! ทำไมรู้สึกดีกับตัวเองขนาดนี้ เพราะการที่บอกว่า ไม่สระผม ตัวกูของกู คือ ต้องแมน ต้องเท่ห์ ต้องไม่สระผม แต่จริง ๆ แล้วก็สระไป จะมีปัญหาอะไร
ชีวิตของ ‘ต่อ ธนญชัย’ ยังไม่จบแค่นี้ จะมีใครสักกี่คนรู้ว่า ชีวิตประจำวันเขาเคยเดินหลายสิบกิโลเมตร แทนการนั่งรถ และเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาพบเจอสิ่งดี ๆ นำมาสู่แรงบันดาลในในการสร้างโฆษณาหลายชิ้น
“คนขับรถบอกเอารถไปซ่อมที่ศูนย์ พี่เลยต้องเดินกลับบ้าน จากเหม่งจ่าย-ทองหล่อ การเดินทำให้เห็นโลกในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คนที่คิดว่า น่ากลัวกลับกลายเป็นคนที่ไม่น่ากลัวที่สุด พี่เดินผ่านสลัม เดินผ่านชุมชนค้ายา...น่ารักมาก
พี่ยังค้นพบว่า ในคนที่เป็น"เสื้อแดง"ก็มีความงดงามอยู่ ซึ่งพี่กำลังจะบอกว่า ตามความเป็นจริงแล้วมนุษย์ล้วนมีความงดงามทุกคน
พี่เดินไปแถวสตรีมหาพฤฒาราม เราเห็นและคิดว่า อะไรวะ ใครทิ้งเศษอาหารเกลื่อนถนน ทำให้เรารู้สึกแย่มาก เพราะที่นี่เมืองไทยไม่ใช่อินเดีย ทำไมจึงสกปรกขนาดนี้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น เราตัดสินไปแล้วว่า เป็นลักษณะของคนไม่มีวัฒนธรรม ปล่อยให้มีข้าวเต็มฟุตบาท เเต่ความจริงแล้วมีนกบินลงมากินเศษอาหารกลางถนนที่มีคนทิ้งไว้ให้ ทำให้พี่เริ่มคิดว่า หากต้องการบ้านเมืองที่สะอาดให้ไปสิงคโปร์
พี่ค้นพบว่านี่คือความงดงามที่สุด นี่คือชีวิต คนนำเศษอาหารให้นก เลยรู้สึกไม่ผิดหวังกับความเป็นคนไทย เพราะในรายละเอียดตรงนั้น มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์และเพื่อนร่วมโลก นั่นคือ นก
ฉะนั้น มหาพฤฒารามจึงเป็นถนนที่สวยที่สุดในความคิด สิ่งที่สวยงามไม่ใช่ทางดวงตา แต่เหตุที่มาของมัน ก็สวยงาม ถ้ามองแบบนี้โลกเปลี่ยนเลย พี่ก็เริ่มเห็นความงดงามของมัน จึงไม่ตัดสินก่อนจะรู้ความจริง และความจริงที่รู้ต้องแน่ใจจริง ๆ ด้วย"
จากการเดินจึงนำมาสู่การผลิตหนังโฆษณาชุดไทยประกันชีวิต ปี 2557 ‘Unsung Hero’ แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ในที่สุดก็ข้ามพ้นอุปสรรคมาได้ ซึ่งบางครั้งแนวความคิดดี ๆ มักอยู่ในคนสังคมกลุ่มน้อย ที่ย่อมต้องมีวิธีการจัดการในการถูกมอง
“คนไม่พร้อมจะรู้ อย่าไปปวดหัว แต่ยิ่งด่ายิ่งชอบ มันบอกไม่ถูก เวลาด่าเรา ก็แล้วแต่ ไม่เป็นไร อย่าไปเสียเวลา จะเถียงเพื่อเอาชนะ ไม่ต้องกลัว พี่ยอม เถียงเพื่อเอาชนะ พี่แพ้ ไม่อยากคุย อยากได้เอาไป ไม่มีใครคุยก็อยู่กับคนสวน สบายใจ คุยในเรื่องควรจะคุย”
ก่อนจะเล่าเรื่องหนึ่งว่า โดยปกติพี่จะเป็นคนทำงานเร็วมาก ถามเลขาฯ ว่า พรุ่งนี้พี่มีคิวกี่โมง ได้รับคำตอบว่า พรุ่งนี้พี่ต้องไปกันตนา ไปเจอคุณชัย จากนั้น... จึงถามย้ำ กี่โมง คำตอบคือ 9 โมงค่ะ จบ!! ต้องการแค่นี้ ตอบให้ตรงคำถาม
นี่คือสังคมที่ซับซ้อน ไม่มีสติ พี่ก็อยู่กับคนเหล่านี้มานานพอสมควร จนพี่รู้สึกผิดปกติ รู้สึกว่าพี่ผิด
จนวันหนึ่งพี่กลับไปที่อ่อนนุช ไปเจอ 'ชัย' คนสวน คนหนองบัวแดง ไม่มีการศึกษา พี่ถามว่า ไอ้ชัย วันนี้ตื่นกี่โมง คำตอบ คือ 7 โมง ถามต่อว่า ดายหญ้าหรือยัง คำตอบ คือ ยัง...พระเจ้า!!!
นี่คือคนที่ต้องการ คนที่มีสติ ไม่มีอะไรฟุ่มเฟือยในคำพูด
เรื่องราวของ ‘ต่อ’ กับ ‘ชัย’ ยังไม่จบ
เขาเล่าอีกว่า ชัยยืมเงินพี่ 200 บาท แต่พี่ให้ไป 1,000 บาท และบอกว่า ไม่ต้องทอน ซึ่งพี่คิดว่าปกติเมื่อคนจนมาขอเงินเรามักจะไม่ได้คืน แต่อีกวันหนึ่งชัยยื่นเงินคืนให้ คงคิดในใจว่า “อย่าคิดว่าเขาไม่มีศักดิ์ศรี”
หรืออีกเหตุการณ์หนึ่ง ชัยชวนพี่กินข้าว แล้วพี่ก็กินข้าว คนที่มีฐานะแย่กว่าเรา สิ่งลึกซึ้งที่เราต้องช่วย คือ ทำให้เขามีศักดิศรี และเป็นคนมีค่า นั่นคือกุญแจที่จะทำให้คนที่แย่กว่าเราดีขึ้น
ปัจจุบันดูเหมือนเหตุการณ์กลับหัวกลับหาง คนเรามักยกมือไหว้คนใส่สูท มีอำนาจ บารมี ในมุมมองอะไรจึงคิดว่า การคุยกับคนจนน่าสนใจกว่าคนรวย ?
“เวลาพิจารณาคน สำคัญที่สุด คือ การตัดสินคน ซึ่งการตัดสินทำให้สังคมมีปัญหา เราตัดสินว่า คนจนต้องแย่ทุกอย่าง ไม่มีอะไรเลย แต่ความจริงเขาเป็นคนฉลาดมากและมีศักดิ์ศรี เราตัดสินทุกเรื่อง จนเราไม่ได้ให้เวลากับการค้นหาความจริงในตัวคนนั้น
ขอทานคืออะไร คนจนคืออะไร เขาคือมนุษย์ แล้วคนรวยคืออะไร เขาคือเครื่องจักรในการหาเงิน เวลาเรามองคนต้องมองให้เห็นความเป็นจริงถึงแก่นสารภายใน ถึงแม้รวยก็อาจมี "ปม" อะไรบางอย่างที่อยากทำ แต่ทำไม่ได้ เพราะต้องดูแลกิจการมากมาย”
เขาชี้แนะว่า การตัดสินมาจากความคิดของเรา และแน่ใจได้อย่างไรว่า ความคิดของเราถูก ทางพุทธจึงสอนให้พิจารณาตนเองก่อนว่า เรามีปัญหาอะไรหรือไม่ อาจหาญไปตัดสินใครหรือไม่ เมื่อพิจารณาแล้ว พยายามค้นหาความเป็นจริงของคน ๆ นั้น มองให้รอบและครบ
ท่านพุทธทาส สอนว่า ปัญญา คือ ความรู้ที่ครบ
คิดเห็นอย่างไรกับการทุจริตแล้วได้ดี มีฐานะร่ำรวยและเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่การเป็นคนดีมักต้องมีฐานะยากจน
“เวลาเราใช้ชีวิต ถ้าเราทำความดีจะไม่กลัวอะไร พูดดัง ๆ ได้ พ่อพี่ไม่โกง ซื่อสัตย์สุจริต พี่เป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต ขุ่นข้องหมองใจไม่มี เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่ ทำให้เรามีความสุข เพราะใจสะอาด
แต่ถ้าพูดเสียงดังเหมือนพี่ แต่ความจริงพ่อโกง เชื่อว่าจะนอนไม่หลับ ดังนั้นการที่เราปฏิบัติสิ่งที่ถูกต้องทำให้เรานอนหลับสบาย แค่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนลูกข้าราชการขี้โกง เป็นเรื่องขี้หมามาก”
เมื่อถูกตั้งคำถามว่า เราอยู่ในประเทศที่ถูกต้องแล้วใช่หรือไม่
ต่อ ธนญชัย ทิ้งท้ายไว้ว่า เคยหวังว่าประเทศไทยจะเป็นเหมือนเยอรมัน มีความคิด มีผู้นำ มีวิสัยทัศน์ แต่การจะทำต้องมีขั้นตอนในการทำเป็นประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีคณะรัฐมนตรี มีนายกรัฐมนตรี มีนักการเมือง และมีนักธุรกิจที่อิงกับนักการเมือง
“พูดง่าย ๆ พี่กำลังเอาชีวิตไปฝากกับคนพวกนั้น จนค้นพบว่า “เลิกเหอะ” ไม่หวังอะไรกับคนพวกนั้นเลย ไม่ต้องมาถามว่า รักประชาธิปไตยหรือไม่ ไม่สนใจ เสียเวลา คนฆ่ากันจะเป็นจะตายเพื่อได้หรือไม่ได้ประชาธิปไตย เก่งกัน ฉลาดกัน
ถามว่า เราเคยให้ของอะไรคนข้างบ้านบ้างหรือไม่ เคยแสดงความรักกับคนอื่นบ้างหรือไม่ มีขั้นตอนมากมายที่จะทำให้ประเทศดี แต่เราไปฝากไว้กับคนอื่น มีเรื่องมากมายในสังคมที่เรามัวแต่ถกเถียง แต่ไม่เกิดอะไรขึ้น”
สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น เขาเห็นว่า ต้องยิ้มให้อีกคนหนึ่ง รับฟังความคิดเขา อย่าเพิ่งบอกว่า ตัวเองถูกหรือผิด สังคมนี้ขอคนฟัง ไม่ต้องพูดเรื่องประชาธิปไตย แค่ฟังคนอื่นจริง ๆ เพราะฉะนั้นต้องปรับปรุงที่ตัวเอง
"บ้านเมืองนี้จะดีหรือไม่ต้องอยู่ที่ตัวเรา ตัวเรารู้สึกดี บ้านเมืองก็จะดี และสวยงามขึ้นเอง ซึ่งความจริงโลกก็เป็นแบบนี้ อยากให้โลกเปลี่ยนต้องให้คนเปลี่ยน ‘เลนส์ปัญญา’ มองเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง"
ถึงบรรทัดนี้ คงสัมผัสได้ถึงมุมมอง ทัศนคติ ในตัวตนของชายที่ชื่อ ‘ต่อ ธนญชัย’ บุคคลทีี่เต็มเปี่ยมไปด้วยหลักคิดนอกกรอบไร้ขีดจำกัด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฟังแนวคิด ‘ต่อ ฟีโนมีน่า’ : ทำอย่างไร Idea คนไทยเปล่งประกายในเวทีโลก