ไทยพาณิชย์ โต้สจล. ไม่เคยประวิงเวลาส่งหลักฐาน-ปกปิดความผิด "ทรงกลด"
"ไทยพาณิชย์" เปิดแถลงข่าวรอบสอง ยืนยันความผิดพลาดขั้นตอนการเบิกถอนเงินคดียักยอก สจล. 1,600 พันล้าน ไม่ได้อยู่ที่ธนาคาร ระบุถอนเงินก่อนให้ลูกค้าคอมเฟิร์มยอดย้อนหลังทำได้ ขั้นตอนปกติดูแลลูกค้ารายใหญ่ ยันมีหลักธรรมาภิบาลในการทำงาน ลั่นไม่เคยประวิงเวลาส่งมอบเอกสารหลักฐาน ปกปิดความผิด "ทรงกลด"
จากกรณี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้ออกแถลงการณ์ประกาศทบทวนธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารไทยพาณิชย์ หลังเกิดคดียักยอกเงิน จำนวน 1,600 ล้านบาท พร้อมตั้งข้อเกตกระบวนการทำงานของธนาคาร อาทิ การไม่ยอมส่งมอบเอกสารเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินคดี หรือการไม่ลงโทษนายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ หลังตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดในขั้นตอนการเบิกจ่ายเงิน
(อ่านประกอบ : 5 เหตุผล "สจล."ไม่ไว้วางใจ"ไทยพาณิชย์"ประกาศทบทวนธุรกรรมการเงิน!)
เมื่อวันที่ 23 ม.ค.58 ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ รัชโยธิน นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายบริหารป้องกันอาชญากรรมทางการเงินและความปลอดภัย ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงว่า การออกมาให้ข่าวต่อสื่อมวลชนของผู้บริหาร สจล.น่าจะมาจากความเข้าใจข้อมูลที่คาดเคลื่อน โดยเฉพาะประเด็นที่ระบุว่าธนาคารไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบคดี ซึ่งยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
"ผมเคยเรียนชี้แจงไปแล้วว่าไทยพาณิชย์ให้ความร่วมมือเรื่องนี้อย่างเต็มที่มาตั้งแต่ต้น เอกสารหรือหลักฐานอะไรที่ขอมาทั้งจากสถาบันและเจ้าหน้าที่ตำรวจ อะไรที่ส่งให้ได้เราก็ส่งให้ และเราก็เป็นฝ่ายริเริ่มให้มีการตั้งคณะทำงานระหว่างธนาคารที่เกี่ยวข้องและเจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้เองด้วย ซึ่งก็ช่วยทำให้การตรวจสอบคดีนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว"
นายพงศ์สิทธิ์ กล่าวย้ำว่า เรื่องการขอเอกสารหลักฐานเข้ามา ไทยพาณิชย์ ไม่เคยนิ่งนอนใจ แต่เนื่องจากเอกสารที่เกี่ยวข้องมีจำนวนมาก ต้องใช้เวลาในการรวบรวม หลักฐานสำคัญบางชิ้นก็อยู่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้บริหารสจล.สามารถไปขอดูได้ ส่วนที่ไปเกี่ยวข้องกับธนาคารอื่น ก็กำลังช่วยประสานงานให้
" ไทยพาณิชย์เราให้ความร่วมมือเต็มที่ ที่ผ่านมาเราส่งเอกสารไปให้เยอะมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจยังบอกว่าดูไม่ทันเลย เมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา ก็เพิ่งส่งมอบไปให้2 ลัง แต่เอกสารบางอย่าง ที่เป็นต้นฉบับเราคงให้ไม่ได้ บางส่วนก็อยู่ในโกดัง ก็ต้องขอเวลาไปตรวจค้น ไม่ได้หากันง่ายๆ แต่เรายืนยันได้เลยว่าเราให้ความร่วมมือเต็มที่ ไม่เคยประวิงเวลาเลย"
นายพงศ์สิทธิ์ ยังกล่าวชี้แจงถึงการถอนเงิน และให้ลูกค้าทำรายการย้อนหลังได้ ว่า เป็นขั้นตอนปกติในการดูแลลูกค้ารายใหญ่ เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการใช้จ่ายเงิน ซึ่งทำกับลูกค้าทุกรายไม่ใช่แค่ สจล.เท่านั้น ขณะที่การปิดบัญชีเงินฝากประจำก่อนกำหนดก็เป็นสิ่งที่ลูกค้าสามารถทำได้ ส่วนการเปลี่ยนแปลงตัวผู้มีอำนาจในบัญชีเงินฝาก ธนาคารก็มีหน้าที่ทำตามความลูกค้าเป็นหลัก
"การถอนเงินและทำรายการย้อนหลัง เป็นการดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ารายใหญ่ของเรา หลายธนาคารก็ทำแบบนี้ แต่การขั้นตอนสำคัญอยู่การยืนยันยอดเงินของลูกค้าว่าเป็นยอดจริงหรือไม่ ถ้าลูกค้ายืนยันว่าถูกต้องเราก็ไม่ทำอะไรไม่ได้"
ส่วนกรณีของนายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ นั้น นายพงศ์สิทธิ์ กล่าวว่า "ก็อย่างที่เคยเรียนชี้แจงไปแล้วว่า มีการตรวจสอบพบในขั้นตอนการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง เราหมดความไว้วางใจในตัวเขา ก็เลยให้ลาออกไป และในช่วงที่ไปเป็นผู้จัดการธนาคารกรุงศรี ผู้บริหารของไทยพาณิชย์ ก็เคยแจ้งด้วยวาจากับผู้บริหารของธนาคารกรุงศรีอยุธยาให้รับทราบแล้วแต่ก็ไม่เห็นทางธนาคารกรุงศรีฯจะว่าอะไร"
"กรณีของทรงกลด เราตรวจพบว่ามีการปฏิบัติงานไม่ถูกต้อง มีการถอนเงินออกไป ทั้งที่ยังลงชื่อไม่ครบ เมื่อทราบเรื่องเราก็มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ธนาคารไปประสานงานกับทางสถาบันเพื่อยืนยันตัวเลข ทางสถาบันก็ยืนยันตัวเลขถูกต้อง ไม่ใช่ให้นายทรงกลดยืนยันเอง แต่เมื่อผู้บริหารสถาบันยืนยันว่าถูกต้อง เราก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าสถาบันบอกว่าผิดแล้วเราไม่ทำอะไร แบบนี้ถึงค่อยมาว่าเราได้"
เมื่อถามว่า เมื่อการเบิกถอนเงินออกไปก่อน แล้วไปให้สถานบันยืนยันตัวเลขย้อนหลังเป็นเรื่องปกติ ทำไมต้องให้นายทรงกลดลาออกไป นายพงศ์สิทธิ์ กล่าวว่า "หลังจากที่เกิดเรื่องเราหมดความไว้วางใจในตัวเขา และเราเชื่อว่าตัวทรงกลดก็คงสำนึกผิดด้วย คิดว่าคงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้เช่นกัน เพราะคงไม่อยากถูกย้ายตำแหน่งเข้ามาที่ส่วนกลาง มันเหมือนกับการลดเกรด และเราได้ให้ผู้บังคับบัญชาของทรงกลด ไปพบกับผู้บริหารสจล.ในขณะนั้น ก็ได้รับคำยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่ายอดเงินว่าถูกต้อง ธนาคารจึงเชื่อว่าธุรกรรมดังกล่าวถูกต้อง"
"ในขั้นตอนการยืนยันยอดเงินที่เกี่ยวกับนายทรงกลด คงต้องไปถามข้อมูลจากผู้บริหารสจล.ในขณะนั้นว่า มันเกิดอะไรขึ้น เพราะหลังจากมีการเบิกถอนเงิน เราได้สอบถามให้ยืนยันยอดแล้ว สถาบันก็ยืนยันว่าเป็นยอดที่ถูกต้อง มีการใช้จ่ายเงินจริง เมื่อเขายืนยันแบบนี้ แล้วเราจะไปทำอะไรได้"
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากพบความผิดปกติ ทำไมไทยพาณิชย์ถึงไม่แจ้งข้อมูลไปยังปปง. นายพงศ์สิทธิ์ กล่าวว่า "รู้ได้อย่างไรว่าเราไม่ทำ การแจ้งข้อมูลมันมีขั้นตอนอยู่แล้ว แต่กรณีของนายทรงกลด มันยังไม่มีความผิดปกติเกิดขึ้น สจล.ยืนยันยอดเงินมาว่าถูกต้องเราจะไปทำอะไรได้ จะไปลงโทษขึ้นบัญชีดำเขาได้อย่างไร "
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ นายทรงกลดอาจจะไม่ได้ทำคนเดียว น่าจะผู้มีอำนาจมากกว่าร่วมด้วย นายพงศ์สิทธิ์ ตอบว่า "เรื่องนี้ข้อให้ตั้งข้อสังเกตอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ถามว่าใครจะมีอำนาจอะไรไปทำได้แบบนั้นได้ งานมันมีขั้นตอนปฏิบัติของมัน ใครจะไปทำอะไรแบบนั้นได้ "
นายพงศ์สิทธิ์ ยังกล่าวย้ำว่า ข้อมูลทั้งหมดได้อธิบายให้ผู้บริหารของ สจล.รับทราบไปหมดแล้ว ท่าทีก็ดูเหมือนเข้าใจกัน แต่ไม่ทราบว่าทำไมถึงมาออกแถลงการณ์แบบนี้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของไทยพาณิชย์ขอยืนยันว่าการทำงานมีหลักธรรมภิบาล พร้อมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเต็มที่ และถ้าพบว่ามีคนของไทยพาณิชย์ทำความผิด ก็พร้อมที่จะดำเนินคดีเต็มที่ ไม่ปล่อยไว้แน่ เพราะไม่ต้องการให้คนไม่ดีอยู่ในสังคมต่อไป
"ส่วนเรื่องที่ สจล.ระบุว่าจะยกเลิกการทำธุรกรรมทางการเงินกับไทยพาณิชย์ ตอนนี้ยังไม่มีการประสานอะไรเข้ามา แต่เราเชื่อว่าผู้บริหารของ สจล. มีวิจารณญาณเพียงพอที่จะตัดสินใจกับเรื่องนี้ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้น ความผิดไม่ได้เกิดขึ้นจากขั้นตอนการทำงานของไทยพาณิชย์เลย โดยเฉพาะในช่วงที่มีการยืนยันยอดเงิน ถ้าสจล.ไม่ยืนยัน แจ้งเราว่ามีปัญหาเกิดขึ้น เราคงจะดำเนินการเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องได้ทันที แต่เมื่อเขายืนยันว่าไม่ผิดอะไร เราก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เราก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในการสอบสวนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ "