ก.เกษตรฯ ผุด 6 มาตรการ แก้ประมงผิดกฎ IUU หวังอียูเลิกให้ใบเหลือง
ก.เกษตรฯ เผย ‘กม.ประมง’ ฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้ เม.ย.58 ส่งเสริมส่วนร่วม ภาคปชช. ชง 6 มาตรการ แก้ปัญหาประมงผิดกม. หวังปลดล๊อกใบเหลืองจาก EU แบนสินค้าประมงไทย กระทบอุตฯ ทั้งระบบ
วันที่ 14 มกราคม 2558 กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) จัดแถลงข่าว “กฎหมายประมงฉบับใหม่และแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) ของประเทศไทย” ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รมว.กษ.) เปิดเผยว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการประมงของไทยมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ทำให้ความต้องการใช้ทรัพยากรประมงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ขณะที่พื้นที่การทำประมงมีอยู่อย่างจำกัด ส่งผลให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากร และมีการใช้เครื่องมือการทำประมงที่เกินศักยภาพการผลิต
โดยสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการทางกฎหมายว่าด้วยการประมงที่ล้าสมัย อันเนื่องมาจากพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประมง พ.ศ. 2490 ได้บังคับใช้มาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยเน้นการบริหารจัดการประมงน้ำจืดเป็นสำคัญ เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีการพัฒนาด้านการประมงทะเล ยังไม่มีบทบัญญัติที่ควบคุมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพราะยังสามารถจับจากธรรมชาติได้อย่างพอเพียง ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป
รมว.กษ. กล่าวต่อว่า การปรับปรุงกฎหมายประมงไทยใหม่จึงเกิดขึ้น โดยได้เริ่มยกร่างกฎหมายประมงใหม่ทั้งฉบับ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐบาลหลายครั้ง จนเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2558 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติเห็นชอบในร่าง พ.ร.บ.การประมงฉบับใหม่
ทั้งนี้ มีสาระครอบคลุมทั้งการประมงในน่านน้ำ การประมงนอกน่านน้ำ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการมีส่วนร่วมของชุมชน และตอบโจทย์การอนุรักษ์และบริหารทรัพยากรประมงที่สอดคล้องกับมาตรการสากลที่ทั่วโลกยอมรับด้วย โดยประเด็นสำคัญที่กำหนดในกฎหมายประมงฉบับใหม่เพิ่มเติมจากกฎหมายประมงฉบับเดิม ดังนี้
1.การบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ มีการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำใหม่ โดยกำหนดเขตทำการประมงออกเป็น 3 เขต คือ
(1) เขตประมงน้ำจืด คือเขตแหล่งน้ำที่อยู่บนแผ่นดินทั้งหมด
(2) เขตประมงทะเลชายฝั่ง คือเขตแหล่งทำการประมงที่อยู่ในทะเล ซึ่งมีระยะตั้งแต่ชายฝั่งทะเลออกไป 3 ไมล์ทะเล ซึ่งอาจขยายออกไปได้ไม่เกิน 12 ไมล์ทะเลโดยอำนาจของรัฐมนตรี
(3) เขตประมงทะเลนอกชายฝั่ง คือ เขตแหล่งทำการประมงที่มีระยะตั้งแต่พ้นระยะเขตประมงทะเลชายฝั่งออกไปจนสุดเขตน่านน้ำของประเทศไทย การกำหนดเขตการประมงในลักษณะนี้ เป็นการกำหนดตามความสามารถในการจับสัตว์น้ำของชาวประมง และชนิดของเครื่องมือทำการประมง เพื่อมิให้มีข้อขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มชาวประมงซึ่งมีมากขึ้นในปัจจุบันเนื่องจากทรัพยากรสัตว์น้ำมีจำนวนลดน้อยลง และเพื่อการบริหารจัดการประมงที่มีประสิทธิภาพ
“กฎหมายจึงกำหนดบทบัญญัติในเรื่องการห้ามครอบครองเครื่องมือประมงที่เป็นอันตรายต่อพันธุ์สัตว์น้ำอย่างร้ายแรง ซึ่งหากพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจพบ ก็สามารถจับดำเนินคดีได้ทันที จากเดิมที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะจับกุมได้ก็ต่อเมื่อมีการลงมือทำการประมงไปแล้วเท่านั้น”
2. การมีส่วนร่วมของประชาชน นายปีติพงศ์ ระบุว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้มีบทบัญญัติ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในหลายระดับ ทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศ ในระดับจังหวัดประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในรูปคณะกรรมการประจำจังหวัด เพื่อนำเสนอนโยบายหรือมาตรการต่าง ๆ ในด้านกฎหมายตามความต้องการของแต่ละพื้นที่ และมีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนประมงท้องถิ่นด้วย
ส่วนในระดับประเทศ ประชาชนจะมีส่วนร่วมได้ในลักษณะการเป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามร่างกฎหมายฉบับนี้ ยังมีการแต่งตั้งผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ซึ่งเป็นหลักการใหม่ที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลทรัพยากรของตน โดยร่วมกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
รมว.กษ.ยังกล่าวว่า 3. การส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและสุขอนามัยสัตว์น้ำ ร่างกฎหมายฉบับนี้ มีการกำหนดในเรื่องมาตรฐานในเรื่องการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และมาตรฐานในเรื่องสุขอนามัยสัตว์น้ำ โดยมีทั้งมาตรฐานโดยสมัครใจ และการกำหนดมาตรฐานบังคับ ทั้งนี้ เพื่อให้สัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์มีคุณภาพ มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และสามารถเป็นสินค้าส่งออกแข่งขันในตลาดโลกได้
โดยปัจจุบันมีการนำมาตรการในเรื่องสุขอนามัยมาใช้เพื่อกีดกันทางการค้า การมีบทบัญญัติในเรื่องนี้ จะช่วยให้กระทรวง เกษตรฯ สามารถดูแลในเรื่องคุณภาพและมาตรฐานในเรื่องการเพาะเลี้ยง และสุขอนามัยสัตว์น้ำได้
4. มาตรการรัฐเจ้าของท่าเรือ (Port State Measures) มาตรการนี้ เป็นข้อผูกพันของประเทศไทยในฐานะเป็นสมาชิกขององค์กรจัดการประมงในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะองค์การ IOTC (Indian Ocean Tuna Commission) ซึ่งต้องกำหนดในกฎหมายให้สามารถควบคุมและป้องกันเรือประมงต่างชาติที่อยู่ในบัญชีรายชื่อเรือประมงที่ทำผิดกฎหมายในภูมิภาคต่างๆ มาเข้าเทียบท่าในประเทศ และต้องมีการกำหนดท่าเทียบเรือที่แน่ชัด
ทั้งนี้ เพื่อให้เรือประมงต่างชาติเข้าเทียบท่าโดยมีกฎระเบียบ ข้อบังคับในการต้องแจ้งล่วงหน้า มีการตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่ชัดว่าสัตว์น้ำที่ได้มา หรือเรือต่างชาติดังกล่าวมิได้เกี่ยวข้องกับการทำการประมง IUU ซึ่งมาตรการต่างๆ มีระบุอยู่ในร่างกฎหมายฉบับใหม่อย่างครบถ้วน หากเรือประมงต่างชาติที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรการรัฐเจ้าของท่าเรือดังกล่าว มีโทษปรับตั้งแต่ 1 ล้านบาทจนถึง 30ล้านบาท
นายปีติพงศ์ กล่าวอีกว่า 5. มาตรการเพื่อควบคุมการไปทำการประมงนอกน่านน้ำ การไปทำการประมงนอกน่านน้ำโดยชักธงชัย ในปัจจุบันมีการทำประมงใน 2 แหล่ง คือ ในน่านน้ำของรัฐต่างประเทศโดยได้รับใบอนุญาต และในทะเลหลวงซึ่งไม่ได้อยู่ในอำนาจของรัฐใด โดยประเทศไทยสามารถควบคุมดูแลเรือประมงไทยที่ทำการประมงนอกน่านน้ำมิให้กระทำผิดอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเรือประมงที่ไปทำการประมงนอกน่านน้ำจะต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมประมงก่อนออกไปทำการประมง
หากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท และจะต้องติดตั้งเครื่องมือติดดตามตำแหน่งเรือประมงเพื่อให้ภาครัฐสามารถติดตามควบคุมการทำปประมงของเรือประมงเหล่านั้นได้
สำหรับผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้ไปทำการประมงนอกน่านน้ำ รมว.กษ.ระบุว่า จะต้องปฏิบัติตามกฎ ข้อบังคับทางการประมงของรัฐที่มีอำนาจหรือองค์กรจัดการประมงระดับภูมิภาคที่ดูแลในน่านน้ำนั้นๆ และหากมีการกระทำที่ฝ่าฝืนก็จะถูกลงโทษตามกฎหมายของรัฐที่ออกใบอนุญาต นอกจากนั้น เมื่อกลับเข้ามาในประเทศ เรือประมงลำนั้นจะถูกพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตทำการประมง โดยจะมีการขึ้นบัญชีดำ และไม่พิจารณาออกใบอนุญาตให้ไปทำการประมงนอกน่าน้ำอีกต่อไป
“กรณีที่เรือประมงไทยซึ่งได้รับอนุญาตให้ไปทำการประมงในทะเลหลวง ที่ทำการฝ่าฝืนกฎระเบียบ ข้อบังคับขององค์กรจัดการประมงระดับภูมิภาคที่ดูแลทะเลหลวงนั้น เมื่อกลับเข้ามาในประเทศไทยจะถูกลงโทษปรับตั้งแต่ 1ล้านถึง 30 ล้านบาท”
รมว.กษ. กล่าวในตอนท้ายว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าจะมีผลใช้บังคับประมาณต้นเดือนเมษายน 2558 ซึ่งจะต้องมีการเร่งออกกฎหมายลำดับรองเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงกฎหมายการประมงดังกล่าวเปรียบเสมือนการปฏิรูปการประมงครั้งยิ่งใหญ่ของไทย
EU จ่อขึ้นบัญชีเเบนสินค้าประมงไทย ทำผิดกฎ IUU
สำหรับกรณีสหภาพยุโรปจะให้ใบเหลืองแก่ไทยในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ 2558 นายปีติพงษ์ กล่าวว่า เนื่องจากผลการประเมินการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ IUU โดยให้ระยะเวลาไทยอีก 6 เดือน ทั้งนี้ หากแก้ไขไม่ได้ ไทยอาจถูกขึ้นบัญชีเป็นประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือกับสหภาพยุโรป ส่งผลให้ไม่สามารถส่งออกสินค้าประมงได้อีก
ทำให้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าสินค้าประมงไทย ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงถึงปีละ 242,691 ล้านบาท (ส่งออก EU ประมาณ 32,000 ล้านบาท) อีกทั้งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศคู่ค้าสำคัญอื่น ๆ ของไทย และเกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประมงทั้งระบบ
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญและกำหนดให้การแก้ไขปัญหาการประมง IUU เป็นปัญหาสำคัญระดับชาติที่ต้องแก้ไข โดแผนปฏิบัติการดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการทำประมงผิดกฎหมาย ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป
สำหรับแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการประมง IUU รมว.กษ. ระบุมี 6 แผนงาน ได้แก่ 1. การจดทะเบียนเรือประมงและออกใบอนุญาตทำการประมง 2. การควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง 3. การจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือ (VMS) 4. การปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) 5. การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประมงและกฎหมายลำดับรอง 6. การจัดทำแผนระดับชาติในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม National Plan of Action – IUU (NPOA-IUU)
“แผนงานทั้งหมดจะครอบคลุมการแก้ไขปัญหาและการป้องกันการทำประมง IUU ของเรือประมงไทยทั้งภายในน่านน้ำไทยและน่านน้ำต่างประเทศ รวมทั้งการป้องกันสินค้าสัตว์น้ำ IUU จากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทยด้วย” นายปีติพงศ์ กล่าว .
ภาพประกอบ:เว็บไซต์ TCIJ