กรรมการสิทธิฯเสนอรัฐเลิกใช้กฎหมายพิเศษซ้ำซ้อนที่ชายแดนใต้
การใช้กฎหมายพิเศษด้านความมั่นคงซ้อนกันถึง 3 ฉบับในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ยังคงเป็นปัญหาที่น่าวิตกในมิติของสิทธิมนุษยชน
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่ 6 ม.ค.58 ครม.ได้มีมติรับทราบข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เรื่องข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายพิเศษที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายความมั่นคง 3 ฉบับ
กล่าวคือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กฎอัยการศึก พ.ศ.2457 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) และ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 (พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ) เพราะประเทศไทยมีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวหลายครั้งและในบางพื้นที่มีการประกาศใช้ซ้ำซ้อนกันทำให้ประชาชนสับสน ซึ่งกฎหมายดังกล่าวให้อำนาจรัฐมากกว่ากฎหมายปกติที่ใช้บังคับอยู่ทั่วไป
ทั้งนี้ ข้อเสนอของ กสม.แบ่งเป็นข้อเสนอแนะต่อนโยบายของรัฐบาล และข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย โดยข้อเสนอแนะต่อนโยบายของรัฐบาลนั้น กสม.เสนอให้ ครม.พิจารณาประกาศยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึกฯ ในทุกพื้นที่ และพิจารณาประกาศใช้ใหม่เฉพาะในบางพื้นที่ที่มีความจำเป็น และประกาศยกเลิกทันทีที่สิ้นสุดความจำเป็น การจะประกาศพื้นที่ใดควรพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายและความรุนแรงของสงครามหรือการจลาจล รวมทั้งผลกระทบที่มีต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนด้วย
นอกจากนั้น กสม.ยังเสนอให้พิจารณาลดระดับการใช้กฎหมายความมั่นคง (หมายถึงกฎหมายพิเศษทั้ง 3 ฉบับ) เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน การบังคับใช้จึงต้องมีเหตุผลและใช้อย่างจำกัดเท่าที่จำเป็น แต่ที่ผ่านมามีการใช้ซ้อนในบางพื้นที่ เช่น ใช้กฎอัยการศึกและ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่ จ.ยะลา นราธิวาส ปัตตานี ยกเว้น อ.แม่ลาน ที่ใช้กฎอัยการศึก และ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ทำให้ประชาชนสับสน รวมทั้งเจ้าหน้าที่อาจกระทำละเมิดสิทธิ์ได้ในเขตพื้นที่กฎหมายซ้ำซ้อน
ดังนั้นเมื่อประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับใดแล้ว หากสถานการณ์ดีขึ้นควรยกเลิกการใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับนั้น อาจเปลี่ยนไปใช้กฎหมายความมั่นคงที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนน้อยกว่า โดยเฉพาะการลดระดับมาใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ อันมีบทบัญญัติมาตรา 21 ที่ช่วยสร้างความปรองดอง เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหายอมกลับใจและยินยอมเข้ารับการอบรมโดยสมัครใจ
ส่วนการพิจารณาใช้กฎหมายความมั่นคงในกรณีที่มีการชุมนุม ไม่สมควรนำ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก มาใช้กับการชุมนุมไม่ว่ากรณีใดๆ เพราะโดยหลักของกฎหมายความมั่นคงไม่สามารถนำมาใช้กับการชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธได้ ต้องนำกฎหมายที่ใช้ในภาวะปกติมาบังคับใช้ก่อน เช่น ประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้น
เว้นแต่มีสถานการณ์วิกฤติหรือจลาจลจึงค่อยนำกฎหมายความมั่นคงที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพน้อยที่สุด คือ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ มาใช้ก่อน โดยที่ฝ่ายรัฐต้องไม่ใช่ฝ่ายเริ่มยั่วยุให้เกิดความไม่สงบนั้น แต่หากไม่สามารถทำให้เข้าสู่ภาวะปกติได้ จึงบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และเมื่อเหตุการณ์ลดลงจึงยกเลิกการบังคับใช้ทันที
ส่วนข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ในส่วนของ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก กสม.เสนอให้แก้ไขมาตรา 2 ที่ให้อำนาจไว้กว้างขวาง ไม่มีเงื่อนไขกำหนดแน่นอนว่าจะมีการประกาศกฎอัยการศึกได้เมื่อใด และตอนท้ายของมาตรา 2 ยังกำหนดว่า "บรรดาข้อความใน พ.ร.บ.หรือบทกฎหมายใดๆ ซึ่งขัดกับความของกฎอัยการศึกที่ให้บังคับใช้ต้องระงับและใช้บทบัญญัติของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับนั้นแทน" มีผลทำให้กฎหมายอื่นหมดสภาพการบังคับใช้ ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักนิติรัฐนิติธรรม
นอกจากนั้นยังสมควรกำหนดเงื่อนไขในการใช้ให้มีความชัดเจน โดยเงื่อนไขในการใช้บทบัญญัติในกฎอัยการศึก ต้องเป็นกรณีที่เกิดสงครามหรือจลาจลเท่านั้น และประการสำคัญต้องไม่นำมาใช้กับการรัฐประหาร รวมทั้งต้องกำหนดระยะเวลาในการประกาศใช้ด้วย
ขณะเดียวกัน ปัจจุบันการสื่อสารมีความสะดวกรวดเร็ว แตกต่างจากสมัยก่อน จึงไม่สมควรกำหนดให้อำนาจผู้บังคับบัญชาทหารซึ่งมีกำลังใต้บังคับบัญชาไม่น้อยกว่า 1 กองพันหรือเป็นผู้บังคับบัญชาในป้อมหรือที่มั่นอย่างใดๆ ของทหารมีอำนาจประกาศกฎอัยการศึกได้อีกต่อไป ตามมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก เพราะควรมีการกลั่นกรองโดยผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจเหนือขึ้นไปก่อน หากจะประกาศใช้ให้มีการเสนอจากผู้บังคับบัญชาทหารที่อยู่ในพื้นที่ต่อผู้บัญชาการเหล่าทัพเพื่อขอความเห็นชอบ
กสม.ยังเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการบังคับใช้ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ ซึ่งสอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
ขณะที่ข้อเสนอการแก้ไข พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เสนอให้แก้ไขมาตรา 5 โดยต้องกำหนดอำนาจของนายกรัฐมนตรีในการขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน และควรยกเลิกมาตรา 17 ที่วางหลักให้พนักงานเจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดทางแพ่งทางอาญาหรือทางวินัย (กรณีปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ)
นอกจากนี้ยังเสนอให้แก้ไขหรือยกเลิกระเบียบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4) ว่าด้วยวิธีปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ข้อ 3.7 วรรคสอง ซึ่งกำหนดให้การร้องขอขยายเวลาควบคุมไม่ต้องนำผู้ถูกควบคุมตัวมาที่ศาล แต่ต้องแสดงให้ศาลเห็นถึงเหตุจำเป็นที่ต้องขอขยายเวลาควบคุมเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
โดยแก้เป็นให้ต้องนำตัวผู้ถูกควบคุมมาศาลในทุกกรณี เพื่อให้ทุกฝ่ายได้แสดงให้ศาลเห็นเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องควบคุมตัวต่อไปหรือไม่ และควรนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้ทันทีอย่างเคร่งครัด เมื่อบุคคลใดถูกจับและควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยไม่ต้องรอให้ระยะเวลาการควบคุมตัวสามสิบวันผ่านพ้นไปก่อน
สำหรับข้อเสนอในการปรับปรุง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เสนอว่า ครม.หรือรัฐสภาควรให้ข้อพิพาทที่เกิดจากการใช้อำนาจใน พ.ร.บ.นี้อยู่ในอำนาจของศาลปกครองหากเป็นคดีปกครอง หากเป็นคดีอาญาควรให้อยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับการแก้ไข พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในประเด็นเดียวกันนี้ และควรกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเยียวยาความเสียหายตามมาตรา 20 เพื่อบรรเทาความเสียหายให้แก่ประชาชนผู้สุจริตที่ได้รับผลกระทบจากการใช้กฎหมายฉบับนี้ด้วย
ในส่วนของการเยียวยาตามมาตรา 20 แห่งพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ครม.ให้สำนักนายกรัฐมนตรีและ กอ.รมน.รับข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายไปพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเยียวยา แล้วเสนอครม.ต่อไป และให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ไปแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ โดยกำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการในการพิจารณานำผู้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิด เข้าสู่กระบวนการอบรมเพื่อประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการดำเนินคดีอาญาในขั้นสอบสวน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : การปฏิบัติหน้าที่ของทหารโดยใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษซ้ำซ้อนกันหลายฉบับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ภาพโดย : อับดุลเลาะ หวังหนิ
ขอบคุณ : คุณจีระพงษ์ ประเสริฐพลกรัง ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเนชั่น เอื้อเฟื้อเนื้อหาข่าวทั้งหมด