"ยิงเด็กเหมือนยิ่งขับไล่คนพุทธ" เสียงจากครูของลูกศิษย์เหยื่อไฟใต้
"สิ่งที่เกิดขึ้นมันเจ็บมาก รับไม่ได้ ตอนนี้หัวใจหอเหี่ยวหมดเลย ทุกคนเป็นแบบนี้กันหมดแล้ว คสช.(คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ช่วยเราได้หรือเปล่า"
เป็นความรู้สึกของครูคนหนึ่งที่สอนอยู่ที่โรงเรียนเดชะปัตตนยานุกูล จ.ปัตตานี หลังต้องสูญเสียลูกศิษย์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 อย่าง สุทธิพงษ์ ทองสุวรรณ ไปจากเหตุการณ์คนร้ายดักยิงระหว่างขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยเพื่อนของสุทธิพงษ์ที่นั่งรถไปด้วยกัน คือ ปรีชาพัฒน์ แววจันทร์ชยากร อาการโคม่า ยังไม่ฟื้น
ครูรายนี้บอกว่า เป้าหมายหันมาลงที่เด็กนักเรียน ก่อนหน้านี้ลงที่ครู พวกเราไม่มีทางสู้ ยิ่งเด็กยิ่งไม่มีทางสู้
"การยิงเด็กก็เหมือนต้องการขับไล่คนไทยพุทธออกจากพื้นที่ เพราะที่ผ่านมาเมื่อครูถูกกระทำหรือผู้ปกครองถูกกระทำ ก็ยังเหลือเด็ก ยังเหลือลูกที่เฝ้าสมบัติของพ่อแม่ที่ยังเหลือ แต่พอเด็กถูกกระทำ แน่นอนคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ย่อมทนไม่ได้ เขาก็ออกจากพื้นที่ทั้งนั้น เพราะรับไม่ได้ที่ลูกถูกกระทำ เมื่อออกไปก็เข้าทางเขาเลย (หมายถึงเข้าทางกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง) เพราะเขาอยากให้มีการย้ายถิ่นออกไปอยู่แล้ว คนไทยพุทธไม่มีตาต่อตาฟันต่อฟัน มีแต่จะย้ายหนี"
ครูโรงเรียนเดชะฯ เล่าต่อว่า สถานการณ์ขณะนี้ ส่วนใหญ่ผู้ปกครองของเด็กๆ จะส่งบุตรหลานไปเรียนนอกพื้นที่ และเมื่อมีเหตุการณ์อะไรก็ย้ายตามเด็กไปอยู่ด้วยกัน
เธอเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของคนในพื้นที่อย่างเห็นภาพว่า "เหมือนยื่นคนละฝั่ง เขาไม่ยอมข้ามมาหาเรา เราก็ไม่ยอมข้ามไป ไม่มีจุดอะไรร่วมกัน" และว่า "ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร มันมืด มันมึน ไม่อยากให้เจ้าหน้าที่และคนบริสุทธิ์ต้องมาตกเป็นเหยื่อไม่สิ้นสุด"
เธอบอกด้วยว่าเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ภาครัฐหันมาใส่ใจปัญหาในพื้นที่มากขึ้น และสร้างสิ่งที่เป็นบวกกับพี่น้องมุสลิมมากมาย สิ่งที่คนมุสลิมไม่ชอบหรือเกลียดชังก็ลดน้อยลง เช่น การตั้งวงดื่มเหล้า หรือการมีร้านอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ต้องห้าม จากเมื่อก่อนมีสิ่งเหล่านี้เยอะ คนไทยพุทธเองโดยเฉพาะข้าราชการ สมัยก่อนก็ทำไม่ค่อยดีกับคนมุสลิม จริงๆ ถ้าวันนี้หยุดความรุนแรงให้ได้ ภาพรวมของพื้นที่น่าจะดีขึ้น
ร้องรัฐทำอะไรสักอย่างให้ดีกว่านี้
ละม้าย มานะการ อาสาสมัครเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ ในฐานะเป็นคณะผู้ประสานงานชาวพุทธในพื้นที่ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลายคนพูดไม่ออก รู้สึกแย่ถ้าเป็นแบบนี้ คนที่ทำต้องการให้เกิดความไม่ใว้วางใจ วันนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสันติภาพ แค่เรื่องความปลอดภัยยังทำใจไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไร แต่ถ้ามาจากการสร้างสถานการณ์ก็ถือว่าสำเร็จสำหรับคนทำ รัฐเองก็ไม่สามารถดูแลได้ ความจริงแล้วรัฐควรทำอะไรสักอย่างให้ดีกว่านี้ การพูดคุยเจรจาหากจะทำให้ดี ตัวแทนที่จะไปพูดคุยต้องเป็นคนที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง
อย่างไรก็ดี ละม้าย เตือนว่า เวลาเกิดเรื่องลักษณะนี้ขึ้น อย่าสติแตก แล้วไปด่าเหมารวม ที่ผ่านมาไม่ว่าพี่น้องพุทธหรือมุสลิมถูกกระทำ คนที่จะถูกต่อว่าคือมุสลิม ทั้งที่มีมุสลิมอีกเยอะที่ไม่รู้เรื่อง ในพื้นที่มีชุมชนที่อยู่ร่วมกันเป็นพหุวัฒนธรรม มุสลิมพยายามช่วยเหลือพี่น้องพุทธก็มีมาก แต่หลายครั้งก็ไม่ปลอดภัย ทำให้เกิดการพึ่งพาไม่ได้
"ทุกครั้งที่สังคมหรือกองทัพบอกว่าเป็นโจรหรือขบวนการเป็นผู้กระทำ ผลกระทบจะลงที่พี่น้องพุทธ ต่อมาก็ลงที่ข้าราชการพุทธ จะเกิดซ้ำๆแบบนี้ตลอด เมื่อมีการใช้ความรุนแรงกับฝ่ายขบวนการ ผลกระทบมาลงที่ประชาชน ปัญหาไม่จบ คิดว่าไม่เป็นธรรมอย่างมาก สมควรประณาม"
"ตอนนี้ทุกคนไม่มีความหวัง มุสลิมก็ตายทุกวัน ชัดเจนมากเรื่องนี้ วันไหนรัฐใช้ความรุนแรงกับผู้ใช้ความรุนแรง ทุกอย่างก็จะกลับมาที่เดิม เมื่อทำรัฐไม่ได้ก็จะมาลงที่ประชาชน มาทำคนไม่มีทางสู้ ทำคนเลี้ยววัว คนบริสุทธิ์ ในฐานะคนทำงานด้านสันติวิธี ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงไม่ว่ากับใคร รวมทั้งกับคนที่รัฐหรือใครๆ เรียกว่าขบวนการด้วย" ละม้าย กล่าว
ถ้าคนที่รักโดนบ้างจะรู้สึกอย่างไร
ด้านความรู้สึกของกลุ่มเพื่อนนักเรียนชั้น ม.5/10 ของ สุทธิพงษ์ ที่ถูกยิงเสียชีวิต พวกเขาเล่าว่าปกติสุทธิพงษ์เป็นคนค่อนข้างเงียบ และเป็นคนขี้เกรงใจ แต่ถ้าเวลาคุยจะคุยสนุก และชอบทำให้เพื่อนๆ หัวเราะ เมื่อเพื่อนๆ ทราบข่าวการเสียชีวิตของสุทธิพงษ์ก็รู้สึกเสียใจ โดยก่อนเกิดเหตุวันนั้น เพื่อนในกลุ่มอีกคนขับรถปิคอัพมา และได้บอกสุทธิพงษ์ให้นำรถจักรยานยนต์ไปใส่ท้ายปิคอัพ เพื่อกลับบ้านพร้อมกัน แต่สุทธิพงษ์ปฏิเสธ คงเป็นเพราะคาวมเกรงใจ
ส่วน ปรีชาพัฒน์ เพื่อนที่บาดเจ็บนั้น ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่อยู่กลุ่มเดียวกัน เคยเรียนด้วยกันตอน ม.ต้น พอขึ้น ม.ปลายแล้วแยกห้องกัน
"แต่เดิมสุทธิพงษ์เดินทางด้วยรถเหมา แต่ระยะหลังเลิก อาจจะเพราะล่าช้าและไม่สะดวก จึงนำรถจักรยานยนต์มาเองตอนขึ้น ม.5 ปกติสุทธิพงษ์จะใส่เสื้อแจ็คเก็ต สวมหมวกกันน็อค แต่ช่วงหลังไม่ได้ใส่ เท่าที่ทราบเวลาเขากลับคนเดียวก็จะพยายามสลับเส้นทาง ไม่กลับเส้นทางเดิมตลอด กระทั่งมาเกิดเหตุในที่สุด"
"ถามว่าโกรธไหม ต้องบอกว่าโกรธมากและโมโหมากกับสิ่งที่ใครก็ไม่ทราบมาทำแบบนี้กับเพื่อนเรา คืออยากจะรู้ว่าเขาผิดอะไร และในทางกลับกันถ้าสิ่งนี้เกิดกับคนที่คุณรัก คุณจะรู้สึกอย่างไร"