อย่าถือโอกาส "ตัดตอน"ส่วยน้ำมันเถื่อนใต้!
ไล่ดูข้อหาและข้อกล่าวหาที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) และพวก ถูกตั้งทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการแล้ว พบข้อกล่าวหาหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การเข้าไปเกี่ยวโยงกับส่วยน้ำมันเถื่อนภาคใต้
อารมณ์ของผู้ให้ข่าว และข่าวที่ถูกเสนอผ่านสื่อบางแขนง รวมทั้งผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์บางกลุ่ม ดูประหนึ่งว่าส่วยน้ำมันเถื่อนภาคใต้ ซึ่งโยงไปถึง "เสี่ย จ." คนดังในฐานะผู้กว้างขวางของภาคใต้ตอนล่าง เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับผู้ถูกกล่าวหากลุ่มนี้กลุ่มเดียวเท่านั้น
ประมาณว่านี่คือการล้างทุจริตครั้งใหญ่ในวงการสีกากี บางข่าวระบุว่าเป็นการล้างโกงระดับประเทศ หรือระดับโลกก็ยังมี
บ้างก็บอกว่าข้อกล่าวหานี้ ซึ่งตามข่าวระบุว่า พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และพวกยอมรับสารภาพแล้ว จะส่งผลดีต่อปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้กันเลยทีเดียว
เสมือนหนึ่งว่าภาคใต้จะเข้าสู่โหมดความสงบกันระดับหนึ่งแล้ว เพราะสามารถกระชากหน้ากากกลุ่มตำรวจที่รับส่วยน้ำมันเถื่อนได้สำเร็จ
ข้อกล่าวหาที่พุ่งไปยัง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และพวก ขณะนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ คงไม่อาจไปสรุปอะไรล่วงหน้าได้ แต่ที่ "ฟันธง" กันได้ ก็คือ ส่วยน้ำมันเถื่อนไม่ได้มีผู้เกี่ยวข้องแค่นี้ และ "เสี่ย จ." ที่กล่าวอ้างกันถึงนั้น ก็ยังลอยนวลอยู่ ปัจจุบันไม่รู้ว่าพำนักในหรือนอกประเทศ หรือว่าซุกปีกอิทธิพลใดอยู่
ยังดีที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ไม่ไหลไปตามข่าว และบอกว่าได้มอบหมายให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด เพราะดีเอสไอมีข้อมูลคดีค้าน้ำมันเถื่อนภาคใต้ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้้นที่ โดยเกี่ยวพันทั้งกับเจ้าหน้าที่รัฐกับเอกชน แต่ไม่ระบุชัดว่าเป็นกลุ่มใด
นั่นคือท่าทีของ พล.อ.ไพบูลย์ ที่ให้สัมภาษณ์สอดรับกับข้อกล่าวหาที่ปรากฏ แต่ถ้าถามว่าเป็น "ทั้งหมด" ที่ควรดำเนินการหรือไม่? ก็ต้องตอบว่า "ยัง"
เพราะในความเป็นจริงแล้ว ข้อมูลการรับส่วยน้ำมันเถื่อน ถูกส่งถึงมือดีเอสไอตั้งแต่ปี 55 จากการค้นสำนักงานของผู้มีอิทธิพลรายหนึ่ง เมื่อเดือน ต.ค.ปีเดียวกัน และพบบัญชีส่วยถูกเผาทำลายหลักฐาน แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังตามยึดคอมพิวเตอร์ไปถอดข้อมูลได้อยู่ดี
แต่ถอดมานานหลายปีกลับไร้ความคืบหน้า!
ขณะเดียวกัน เครือข่ายค้าน้ำมันเถื่อนชายแดนใต้ที่เชื่อมโยงกับ "เสี่ย จ." และมีข้อมูลส่วยก้อนมหึมานั้น เคยมีรายงานลับของหน่วยงานความมั่นคงซึ่งตรวจสอบเรื่องนี้ และ "ศูนย์ข่าวภาคใต้" เคยนำมาตีแผ่ครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมานี้เอง
เครือข่ายดังกล่าวนี้มีทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ผู้นำในพื้นที่ และบุคคลผู้ทรงอิทธิพลในประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย
1.นาย ส. เป็นเครือข่ายใหญ่ที่สุด เป็นตัวกลางออกหน้าเชื่อมโยงกับเครือข่ายอื่นๆ
2.นาย น. นักการเมืองท้องถิ่นของ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
3.นาย ม. จากบริษัท อ./ฟ. มีฐานอยู่ใน จ.ปัตตานี เคยถูกทหารและดีเอสไอเข้าตรวจค้นเมื่อหลายปีก่อน
4.นาย ม. เจ้าของบริษัท อ. ในอำเภอพื้นที่สีแดงของ จ.นราธิวาส
5.เครือข่ายนายมะ เชื่อมโยงกับยาเสพติด
6.เครือข่ายนาย จ. เจ้าของกิจการเกี่ยวกับน้ำมัน มีเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่
7.บริษัท ก. กับ บริษัท ต. ตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย
8.สหกรณ์ออมทรัพย์แห่งหนึ่งในพื้นที่ชายแดนใต้
ทั้งนี้ บริษัท อ./ฟ. ที่มีฐานอยู่ใน จ.ปัตตานี มีความเกี่ยวโยงกับบริษัท ต.ที่ตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน เพราะผู้บริหารบริษัทบางส่วนเป็นชุดเดียวกัน บางคนเป็นเครือญาติกัน โยงถึงครอบครัวของ "คนมีสี" ที่เคยดำรงตำแหน่งระดับสูงใน จ.ปัตตานีด้วย
จะเห็นได้ว่าเครือข่ายไม่ได้มีแค่วงการสีกากีเท่านั้น แต่ยังโยงไปถึงสีอื่น รวมถึงนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งไม่มีใครพูดถึงเลย รวมทั้ง "เสี่ย จ." ที่หนีคำพิพากษาศาลและหายตัวไปนานเกือบ 2 เดือนแล้ว
ขณะที่ "เงินส่วย" ซึ่งถูกระบุในบัญชีที่พบว่าจ่ายรายเดือนให้กับเจ้าหน้าที่เกือบทุกหน่วยตั้งแต่ที่ตั้งด่านตรวจด่านสกัดบนถนน ในน้ำ ไปจนถึงพวก "นั่งโต๊ะ" และว่ากันว่ามีผู้สื่อข่าวนอกแถวรวมอยู่ด้วย ทั้งหมดมีมูลค่าราวเดือนละ 25 ล้านบาท!
หากจะปราบส่วยน้ำมันเถื่อนจริง และหวังให้ภาคใต้สงบจริง ก็ทำได้ทันที เพราะมีข้อมูลครบ และต้องจัดการทั้งขบวนการ!
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณ : กราฟฟิกเครือข่ายน้ำมันเถื่อนภาคใต้ จากกรุงเทพธุรกิจ
หมายเหตุ : บางส่วนของบทความชิ้นนี้ตีพิมพ์ในคอลัมน์ "แกะรอย" หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ปกโฟกัส ฉบับวันอังคารที่ 25 พ.ย.57